2551/10/14

การฝึกหัดเบื้องต้น

การฝึกหัดเบื้องต้น
หลังจากที่ได้มีการคัดเลือกนักเรียนให้แยกไปเรียนตามสาขาที่ได้รับคัดเลือกแล้วครูผู้สอนก็จะเริ่มสอนการฝึกหัดปฏิบัติท่ารำของวิชานาฏศิลป์โขน่ารำเบื้องต้นที่ผู้เรียนทุกสาขาไม่ว่าจะเปนโขนพระ โขน
ยักษ์ โขนลิง จะต้องฝึกหัดเป็นอันดับแรกได้แก่ การตบเข่า การถองสะเอว และการเต้นเสา
การฝึกหัดทั้ง ๓ รูปแบบนี้รวมเรียกว่า การฝึกหัดเบื้องต้น ซึ่งผู้เรียนทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนของการฝึกเบื้องต้นนี้ก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานในการฝึกหัดรำในโอกาสต่อไป
ขั้นตอนการฝึกปฏิบัติการตบเข่า
การตบเข่า
เป็นการฝึกหัดทักษะเบื้องต้นในเรื่องของการฝึกฝนและนับจังหวะ ซึ่งประกอบด้วยจังหวะปิด และจังหวะเปิด (จังหวะปิด หมายถึง จังหวะของการนับจังหวะที่ ๑ จังหวะที่ ๒และจังหวะที่ ๓ เว้นจังหวะไปตามเสียงไม้เคาะ ส่วนจังหวะเปิด หมายถึง จังหวะของการนับจังหวะ ๑ – ๒ ๓ ติดต่อกัน โดยไม่เว้นจังหวะ)

วิธีปฏิบัติ
ให้นักเรียนนั่งพับเพียบเข้าแถวบนพื้นราบ นั่งพับเพียบทางขวา คือให้ขาขวาทับขาซ้ายแต่ให้ปลายเท้าซ้ายอยู่ตรงเข่าขวา ตั้งลำตัว และศีรษะให้ตรง ตึงหลัง ตึงเอว ให้อกผายไหล่ผึ่งวางมือทั้งสองข้างอยู่บนเข่าทั้งสองข้าง แล้วยกฝ่ามือขวาขึ้นอยู่ในระดับอกของตน ให้เป็นมุมฉากเมื่อครูเคาะสัญญาณ ๑ ครั้ง นักเรียนจะตบมือขวาที่ยกลงไปที่เข่าขวา และยกมือซ้ายอยู่ระดับหน้าอก ตั้งเป็นมุมฉากค้างไว้ พร้อมกับนับ ๑ ต่อจากนั้นเมื่อครูเคาะสัญญาณในจังหวะที่ ๒ นักเรียนจะต้องใช้มือซ้ายตบลงที่เข่าซ้าย และยกมือขวาขึ้นระดับหน้าอกตั้งขึ้นเป็นมุมฉากค้างไว้พร้อมกับนับจังหวะที่ ๒ จังหวะที่ ๓ ครูเคาะสัญญาณอีก ๑ ครั้ง นักเรียนจะตบมือขวาลงที่เข่าขวา และยกมือซ้ายขึ้นอยู่ระดับหน้าอกตั้งเป็นมุมฉากค้างไว้ พร้อมกับนับ ๓ จังหวะของการตบเข่าในแต่ละชุด จะประกอบด้วย จังหวะ ๑, ๒, ๓ โดยจะเริ่มต้นที่มือขวาก่อน และสิ้นสุดที่มือซ้าย นับเป็นชุดที่ ๑ ต่อจากนั้นจึงปฏิบัติสลับกันไปเรื่อย ๆ เมื่อผู้ฝึกปฏิบัติท่าตบเข่าในลักษณะปิดจังหวะ จนเกิดความชำนาญแล้ว ครูผู้สอนก็จะให้ปฏิบัติในลักษณะเปิดจังหวะ โดยจะเคาะสัญญาณ ๒ ครั้ง ให้นักเรียนปฏิบัติท่าตบเข่าเป็นจังหวะ ๑, ๒, ๓ ติดต่อกันไป โดยไม่เป็นจังหวะ
ข้อสังเกตในการฝึกปฏิบัติท่าตบเข่า เนื่องจากท่ารำในการแสดงโขนส่วนใหญ่จะเน้นลีลาการใช้เท้าเป็นสำคัญ ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า เต้นโขน เต้นเขน ทำให้มองเห็นตามว่า ประโยชน์ของการตบเข่า นอกจากจะทำให้นักเรียนมีทักษะในการฟังจังหวะ การนับจังหวะ ตลอดจนการใช้มือและแขนให้สัมพันธ์และถูกต้องตรงจังหวะ การตบเข่ายังเป็นการฝึกปฏิบัติให้นักเรียนรู้จักวิธีการยกเท้าขึ้นลงให้ตรงกับจังหวะ โดยใช้อวัยวะส่วนมือและแขนแทนอวัยวะส่วนขา และเท้าทั้งนี้ เนื่องจากเป็นท่านั่งในการปฏิบัติ เป็นการสอนในเชิงเปรียบเทียบเบื้องต้น เมื่อนักเรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องของการยกมือ และแขนในท่าตบเข่าแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในท่าของการเต้นเสาได้อย่างถูกต้องตามแบบแผน

การถองสะเอว เป็นการฝึกทักษะให้นักเรียนรู้จักการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อันได้แก่ใบหน้า ลำคอ ไหล่ แขน ลำตัว ให้มีความสัมพันธ์กัน
วิธีปฏิบัติ
ท่าถองสะเอว คือ ให้ผู้เรียนนั่งพับเพียบเข้าแถวบนพื้นราบ ตั้งตัวตรงเช่นเดียวกับการตบเข่า จากนั้นยกแขนทั้งสองขึ้นข้างลำตัว งอแขนให้ข้อศอกอยู่ระดับเอว มือทั้งสองกำมือและหงายมือขึ้น การนับจังหวะปฏิบัติเช่นเดียวกับการตบเข่า คือทำเป็นชุด นับ ๑, ๒, ๓ ปิด – เปิดจังหวะเช่นเดียวกัน โดยเริ่มจาก ใช้ข้อศอกขวากระทุ้งที่สะเอวด้านขวาเป็นจังหวะที่ ๑ เอียงศีรษะไปทางซ้าย กดไหล่ซ้าย กดลำตัวหรือสะเอว ด้านขวาที่ข้อศอกกระทุ้ง มือซ้ายยันออกไปข้างซ้ายเล็กน้อย นับ ๑ จังหวะที่ ๒ กระทุ้งข้อศอกซ้ายที่สะเอวซ้าย เอียงศีรษะไปทางขวา กดไหล่ขวากดลำตัวหรือสะเอวซ้าย มือขวายันออกไปทางขวาเล็กน้อย นับ ๒ จังหวะที่ ๓ กระทุ้งข้อศอกขวาที่สะเอวขวาเอียงศีรษะทางซ้ายกดไหล่ขวา กดลำตัวหรือสะเอวขวา มือซ้ายยันออกไปทางซ้ายเล็กน้อย นับ ๒ ถือเป็นการจบชุดที่ ๑ ของการฝึกปฏิบัติถองสะเอว และปฏิบัติดังนี้สลับกันไป
ข้อสังเกตในการฝึกปฏิบัติท่าถองสะเอว ของสาขาโขนพระ โขนยักษ์ และโขนลิงจะมีความแตกต่างกัน ท่าถองสะเอวของโขนยักษ์ และโขนลิงจะไม่มีความซับซ้อน ในเรื่องของการใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเหมือนกับโขนพระ การปฏิบัติท่าถองสะเอวโขนยักษ์ และโขนลิง เมื่อใช้ข้อศอกกระทุ้งไปที่สะเอว จะเป็นด้านซ้ายหรือด้านขวาก็ตาม ลำตัวและศีรษะจะเอียงไปตามมือที่ยันออกไปข้างลำตัว จะไม่มีการกดไหล่หรือกดลำตัวหรือสะเอวดังเช่นการปฏิบัติ ของโขนพระ ทั้งนี้เนื่องมาจากท่ารำท่าเต้น ของโขนยักษ์ และโขนลิง จะเน้นที่ลีลาการใช้เท้าเป็นสำคัญ ซึ่งต่างจากท่ารำของโขนพระ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน การฝึกในท่านี้ส่วนใหญ่นักเรียนจะปฏิบัติผิด คือการยักคอ โดยที่ใบหน้าเหลียวตามไปทางซ้าย และทางขวาด้วย
วิธีแก้ไขในขณะหน้าตรง ให้นักเรียนมองและจับสายตาไปที่จุดใดจุดหนึ่งตรงหน้า เพื่อไม่ให้ละสายตาจากจุดนั้น จะช่วยให้ใบหน้าของนักเรียนอยู่ตรงเสมอ หรือการเอียงศีรษะก็เอียงทางใบหู หน้าจะไม่เหลียวไปมองทางซ้าย หรือทางขวา
การเต้นเสา
ช่วยให้ผู้เรียนมีพละกำลังสูงที่อวัยวะส่วนขาอย่างแข็งแรง และมั่นคง ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการแสดงโขน ทั้ง โขนพระ โขนยักษ์ และโขนลิง ทั้งยังเป็นการฝึกความพร้อมเพรียงและความมีระเบียบแบบแผนในการจัดแถวด้วย
วิธีปฏิบัติ
การเต้นเสา จะเริ่มโดยให้นักเรียนย่อเข่า ตั้งเหลี่ยม เหยียดแขนทั้งสอง ตั้งมือตึงออกไป ข้างหน้าระดับหัวไหล่ หน้าตรง ต่อจากนั้นยกเท้าขวามาวางลงชิดเท้าซ้าย พร้อมทั้งยกเท้าซ้ายขึ้นนับ ๑ แล้วจึงวางเท้าซ้ายลงชิดส้นเท้าขวา พร้อมกับยกเท้าขวาขึ้น นับ ๒ แล้ววางเท้าขวาที่ยกลงชิดส้นเท้าซ้าย พร้อมกับยกเท้าซ้ายขึ้น นับ ๓ จะอยู่ในท่ายกเท้าซ้ายค้างไว้ในลักษณะหันเข่าซ้ายออกไปทางซ้าย และเท้าซ้ายก็ยกหนีบน่อง หักข้อเท้าและตึงปลายนิ้วเท้าขึ้น ลำตัวตั้งตรงเหมือนเดิม (ลักษณะเช่นนี้คล้ายกับท่าตบเข่า) จากนั้นวางเท้าซ้าย เต้นขึ้น – ลง สลับกับเท้าขวาตามจังหวะที่ครูเคาะสัญญาณ วิธีหยุดการเต้นเสาจะใช้การนับจังหวะ เมื่อครูเคาะสัญญาณให้เริ่มนับจังหวะ นักเรียนจะเริ่มนับจังหวะเท้าซ้ายที่เต้นเป็นหลัก โดยเริ่มนับจังหวะเท้าขวาที่เต้นลงนับเป็น ๑ แล้วเว้นจังหวะเท้าที่เต้นไปอีก ๓ จังหวะ แล้วจึงนับเท้าขวาที่เต้นเป็นจังหวะที่ ๔ เป็น ๒
การหยุดนั้นขึ้นกับครูผู้ให้นับจังหวะ อาจจะนับเพียง ๑๐ จังหวะ หรือ ๑๐๐ – ๑,๐๐๐ จังหวะก็ได้ นอกจากนั้นอาจจะให้หยุดเต้นตามกำหนดระยะเวลาที่ครูกำหนดให้ ข้อสังเกตในการฝึกปฏิบัติท่าเต้นเสา สาเหตุที่เรียกท่าปฏิบัตินี้ว่าท่าเต้นเสา สืบเนื่องมาจากการฝึกหัดโขนในสมัยโบราณนั้น นักเรียนจะเต้นโดยใช้แขนเหยียดตึงทาบกับเสา ผู้ฝึกคนต่อไปก็จะใช้แขนเหยียดตึง และทาบมือไปกับแผ่นหลังของคนที่อยู่ข้างหน้า หรือบางทีใช้มือจับสะเอวของคนหน้า ปฏิบัติเช่นนี้ต่อ ๆ กันไป ด้วยเหตุของการเต้นที่เต้นกับเสานี้ จึงทำให้เรียกการเต้นชนิดนี้ว่า “เต้นเสา” การเต้นเสานี้ เน้นในเรื่องจังหวะเท้าที่เต้นลงให้เท่ากัน การวางเท้าชิดกัน การย่อ การแบะเข่า และการยกเท้า การวางลำตัวให้ตรง ไม่ส่ายขณะเต้น เพราะนักเรียนที่ฝึกหัดใหม่ยังไม่รู้จักการทรงตัว จะทำให้เกิดการส่าย หรือโคลงลำตัวขณะเต้นเสา การเต้นเสานี้ นักเรียนต้องเต้นอย่างจริงจัง หนักแน่น ถ้าปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะทำให้กำลังอยู่ตัว กำลังขาดี สามารถทรงตัวได้ดีในท่าที่ต้องการยกขา
เมื่อปฏิบัติท่าฝึกหัดเบื้องต้นทั้ง 3 ท่าแล้ว ครูจะดัดเหลี่ยมให้แก่ผู้เรียนที่เรียกว่า “การถีบเหลี่ยม” การถีบเหลี่ยมนั้น นักเรียนโขนพระ โขนยักษ์ โขนลิง จะต้องผ่านการถีบเหลี่ยมทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนมีท่าทางที่ดูสวยงาม และเหลี่ยมที่ถูกต้องตามแบบแผนแต่โบราณ

การถีบเหลี่ยม

วิธีการถีบเหลี่ยม ให้นักเรียนยืนเอาหลังยันกับเสา ย่อขาและแบะเข่าทั้ง ๒ ออกไปด้านข้าง แล้วครูใช้เท้าทั้ง ๒ วางที่บริเวณหน้าขาของนักเรียน ค่อยๆ ยันเข่าของนักเรียนให้แบะออกไปด้านข้างทีละน้อย จนเข่าของนักเรียนแบะออกได้เส้นขนานกับแนวไหล่ เมื่อได้ที่แล้วจะนิ่งไว้สักครู่ จากนั้นให้นักเรียนบิดตัวเอี้ยวไปทางขวา และซ้าย เพื่อให้เส้นยืด ต่อจากนั้นครูจึงค่อย ๆ ถอนเท้าของครูออกจากหน้าขาของนักเรียน พร้อมกับให้นักเรียนยืนตึงเข่า ถือว่าสิ้นสุดการถีบเหลี่ยม
หลักการถีบเหลี่ยม คือ จัดท่าการย่อและวงให้ได้สัดส่วน น้ำหนักเท้าที่ถีบต้องเท่ากันขณะถีบต้องค่อย ๆ ถีบทีละน้อย ครูจะต้องสังเกตเหลี่ยมของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน บางคนเหลี่ยมอ่อนบางคนเหลี่ยมแข็ง เพราะเส้นเอ็นตึง การสอนต้องใช้ความอดทน ค่อย ๆ ถีบไปวันละน้อย
ปัญหาในการถีบเหลี่ยม คือ นักเรียนจะเจ็บปวด และเกิดอาการกลัวการถีบเหลี่ยม ฉะนั้นในขณะที่ถีบเหลี่ยม ครูต้องใช้จิตวิทยาประกอบด้วย เช่นการพูดให้กำลังใจ การซักถามพูดคุย เรื่องอื่น ๆ เพื่อให้นักเรียนลืมความเจ็บปวด

การถีบเหลี่ยมต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักเรียนใหม่ ต้องถีบทุกวันภายในระยะ
๓ เดือนแรก และต่อไปผ่อนถีบอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง สิ่งที่ครู และนักเรียนควรระวังในการถีบเหลี่ยม คือ ห้ามนักเรียนปฏิบัติต่อไปนี้
๑. การยืดตัวขึ้นในขณะถีบเหลี่ยม
๒. การเอามือยันขาตนเอง

๓. การคว่ำตัวลงมาข้างหน้า

๔. การเดินเท้า (การเลื่อนเท้าหรือขยับเท้าให้เคลื่อนออกไปจากจุดเดิม) ทำให้เหลี่ยมกว้างทั้ง ๔ ประการนี้ ครูและนักเรียนระวังมิให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้เท้า และขาของนักเรียนเสียได้ ส่วนนักเรียน นอกจากต้องระวังทั้ง ๔ ประการดังกล่าวแล้ว ควรปฏิบัติดังนี้ คือ
- ในขณะที่ถูกถีบเหลี่ยมไม่ควรเกร็งกล้ามเนื้อขา ต้องค่อย ๆ ผ่อนตามแรงเท้าของครูจะช่วยลดความเจ็บปวดได้มาก
- ถ้าไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้ ต้องรีบบอกให้ครูทราบ ห้ามทำการอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ ประการข้างต้นโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เท้าหรือขาเสียได้
- ไม่ควรเลี่ยงหลบหลีกหนีการถีบเหลี่ยม เพราะการที่ได้ถีบเหลี่ยมบ่อย ๆ จะทำให้เหลี่ยมอ่อน และจะมีประโยชน์ต่อการรำอย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีวิธีดัดอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของนักเรียนีก ทั้งนี้เพื่อช่วยให้อวัยวะแต่ละส่วนมีความพร้อม และสมบูรณ์ในการร่ายรำยิ่งขึ้น ซึ่งได้ยึดถือปฏิบัติกันมาจนทุกวันนี้ ได้แก่

ดัดการข้อมือ และดัดแขนระทำได้ ๒ วิธี คือ ครูเป็นผู้หักข้อมือให้ภายหลังที่เสร็จจากการถีบเหลี่ยม และแนะนำวิธีให้นักเรียนปฏิบัติเองภายหลังการเต้นเสาแล้ว ก่อนหรือหลังการรำเพลงช้า – เพลงเร็ว การกำหนดวิธีการหักข้อมือและการดัดแขน ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนจะเป็นผู้กำหนดให้ปฏิบัติ แล้วแต่ความเหมาะสม
วิธีที่ ๑ ให้นักเรียนนั่งหันหน้าเข้าหาครู ตั้งข้อมือเหยียดแขนมาทางด้านหน้า ครูใช้มือซ้ายจับข้อศอก มือขวาจับฝ่ามือนักเรียน กดน้ำหนักดัดข้อมือตั้งขึ้นดันไปทางข้อศอกจนตึง เมื่อดัดข้อมือแล้ว ครูเลื่อนมือจับที่ปลายนิ้วทั้ง ๔ แล้วดัดนิ้วให้หงายอ่อนไปทางข้อศอก
ข้อควรระวังในการปฏิบัติของครู คืออย่าหักนิ้วมือพร้อมกับหักข้อมือ เพราะจะทำให้นิ้วมือเสียได้ และต้องระวังอย่าให้นักเรียนยกไหล่ หรือบิดตัว เนื่องจากเมื่อครูหักข้อมือและนิ้วมือแล้ว จะมีความรู้สึกเจ็บปวด เมื่อไม่สามารถทนได้ก็จะแสดงออกมาในลักษณะดังกล่าว ซึ่งจะทำให้มือและแขนของนักเรียนเสียได้ เพราะฉะนั้นครูจึงต้องควรระมัดระวัง

วิธีแก้ไข ครูจะต้องผ่อนการกระทำอย่าหักโหม โดยเฉพาะนักเรียนที่กระดูกมือค่อนข้างแข็ง ครูจึงต้องพยายามดัดให้ทีละน้อยและเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งสามารถช่วยให้มือของนักเรียนอ่อนได้ ทั้งนี้จะต้องกระทำด้วยความสม่ำเสมอ ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะลักษณะของมือที่สวยงามจะเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้การร่ายรำของผู้นั้นสวยงามยิ่งขึ้น
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อเห็นนักเรียนยกไหล่หรือบิดลำตัว ครูจะต้องห้ามปรามทันทีและจะต้องให้คำแนะนำหรืออธิบายให้นักเรียนทราบถึงข้อเสียที่จะตามมา พร้อมกันนี้ครูอาจหาวิธีที่จะช่วยให้นักเรียนคลายความเจ็บปวดได้ด้วยการพูดคุย ซักถาม ซึ่งถือเป็นกลวิธีทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
วิธีที่ ๒ วิธีนี้ครูเป็นแต่เพียงผู้แนะนำวิธี และให้นักเรียนปฏิบัติตนเอง โดยครูคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งสามารถกระทำได้หลายลักษณะ
ลักษณะที่
เป็นวิธีที่เน้นการดัดข้อมือและนิ้วมือโดยเฉพาะ ให้ผู้เรียนนั่งพับเพียบ หันเท้าไปทางขวา แขนซ้ายวางไว้บนเหนือเข่าซ้าย ตั้งข้อมือซ้ายขึ้นพร้อมทั้งโน้มตัวลงมาทางซ้าย ใช้มือขวาจับที่มือซ้ายกดน้ำหนักดัดข้อมือ และเลื่อนมาที่ปลายนิ้วให้หงายมาทางลำแขนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อทำข้างซ้ายเสร็จแล้วให้เปลี่ยนมาทำทางขวา ซึ่งมีวิธีปฏิบัติเหมือนกัน
ในขณะที่นักเรียนปฏิบัติ ครูจะต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความถูกต้อง และอีกประการหนึ่ง การดัดมือและนิ้วนี้ทำให้เกิดความเจ็บปวด นักเรียนบางคนอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังนั้นครูจึงต้องคอยควบคุมและสอดส่องดูแลอยู่เสมอ
ลักษณะที่
เป็นวิธีหักนิ้วมือและแขน ปฏิบัติโดยให้ผู้เรียนนั่งราบกับพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น แยกขาออกจากกันเล็กน้อย ถ้าดัดมือและแขนซ้าย ให้ยกแขนซ้ายขึ้นพาดเข่าซ้าย ให้ข้อศอกตรงกับเข่า เหยียดแขนตึง ตั้งปลายนิ้วขึ้น ยกเท้าขวาพาดไว้บนหลังข้อมือซ้าย ให้ข้อเท้ากับข้อมือตรงกัน ใช้มือขวาจับปลายนิ้ว แล้วหักเข้าหาลำแขน ท่านี้เป็นการดัดช่วงแขนและมือไปในตัวถ้าดัดข้างขวาก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ในการปฏิบัติต้องให้ทำทั้ง ๒ ข้าง
ในขณะปฏิบัติ ครูควรเน้นเรื่องการวางข้อศอกให้ตรงกับเข่า เพราะถ้าทำไม่ถูกวิธีก็จะไม่ได้ผล นอกจากนี้ต้องคอยระวังการยกไหล่ของผู้เรียนซึ่งอาจจะทำให้ติดตัวผู้เรียนโดยไม่รู้ตัวซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียในการรำ
ลักษณะที่

เป็นวิธีดัดมือและแขนเช่นกัน ให้นักเรียนนั่งยกเข่าทั้ง ๒ ขึ้น เท้าชิดกัน ลำตัวตรง ตึงเอวตึงไหล่ ประสานมือเข้าด้วยกัน หักฝ่ามือออก ให้แขนอยู่ภายในระหว่างเข่าทั้ง ๒ ข้าง ข้อศอกอยู่บริเวณเข่าจากนั้นค่อย ๆ บีบเข่าเข้าหากัน พยายามให้ข้อพับของลำแขนชิดกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ข้อเสนอแนะ วิธีดัดมือและแขนในลักษณะต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นวิธีที่นักเรียนสามารถทำด้วยตนเองได้ เมื่อได้รับคำแนะนำจากครูแล้ว นอกเหนือจากการปฏิบัติในชั้นเรียน นักเรียนควรหาโอกาสและเวลาช่วยตนเองเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเคยชิน ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จะมีประโยชน์ต่อนักเรียนอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เริ่มฝึกหัดใหม่ ๆ นี้ นักเรียนยังมีอายุน้อยกระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายยังอ่อนอยู่ ง่ายต่อการดัด เปรียบได้กับสุภาษิตที่ว่า“ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” ฉันใด การปฏิบัติต่าง ๆ ดังกล่าวก็ฉันนั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ คุณครูวงศ์ ล้อมแก้ว ได้กล่าวว่า ในตอนเช้า ๆ ให้เอาน้ำข้าวพออุ่น ๆ ใส่อ่างหรือชามก็ได้ แล้วเอามือแช่ลงไปแล้วนวด และดัดข้อมือและนิ้วมือดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้นิ้วมืออ่อนได้ดีอีกวิธีหนึ่งแต่ในปัจจุบันนี้คงจะกระทำได้ยาก เพราะการหุงข้าวในปัจจุบันนี้จะใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้ากันหมดทำให้ไม่มีน้ำข้าวเหมือนการหุงข้าวในสมัยโบราณ แต่อย่างไรก็ตามถ้านักเรียนได้กระทำการดัดมือด้วยตนเองไม่ว่าจะอยู่ในโอกาสใดก็ตาม ก็มีส่วนทำให้ข้อมือและนิ้วมืออ่อนและสวยงามได้เช่นกัน
เมื่อดัดข้อมือและแขนแล้ว ขั้นต่อไปเป็นการดัดอวัยวะส่วนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ขาและเท้า เนื่องจากลักษณะที่สำคัญของการแสดงนาฏศิลป์ไทย ถือว่าอวัยวะทุกส่วนของร่างกายมีความสำคัญ จะต้องผสมผสานกลมกลืนและสอดคล้องกัน นับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ขั้นแรกของการดัดขาและเท้า ครูจะให้นักเรียนหัดกระดกเท้า ซึ่งเป็นการดัดอวัยวะตั้งแต่ส่วนเอวไปจนถึงปลายเท้า การกระดกเท้านี้มี ๒ ลักษณะ คือ กระดกหลัง และกระดกเสี้ยว
การกระดกเท้าทั้ง ๒ ลักษณะนี้ จะเห็นว่าปรากฏอยู่ในลีลาการรำของนาฏศิลป์ไทย แต่ท่า กระดกหลัง นั้นโอกาสที่ใช้มีมากกว่าท่า “กระดกเสี้ยว” เช่น ในการรำเพลง “เชิดฉิ่งแผลงศร” หรือ “เชิดฉิ่งศรทนง” เป็นต้น
วิธีปฏิบัติท่า
กระดกหลัง
ให้ผู้เรียนนั่งคุกเข่า ตั้งลำตัวและศีรษะตรง ตึงเอว ตึงไหล่ ดันเข่าขวา ส่งปลายเท้าไป ทางด้านหลัง ตั้งเข่าขวาขึ้น หักข้อเท้าลง มือทั้ง ๒ ข้างเท้าสะเอว หรืออาจให้ผู้เรียนปฏิบัติใน ลักษณะยืนกระดกก็ได้ โดยยืนด้วยเท้าซ้าย แล้วยกเท้าขวาส่งปลายเท้าไปด้านหลัง หักข้อเท้าลง พร้อมกับย่อเข่าซ้ายเล็กน้อย ในการปฏิบัติควรเน้นให้นักเรียนพยายามส่งเข่าไปด้านหลังมาก ๆ และพยายามหนีบน่องกับบริเวณโคนขาด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และระวังการทรงตัวของผู้เรียน
การกระดกหลังนี้ ต้องส่งเข่าไปข้างหลังมาก ๆ และพยายามหนีบน่องเข้าหาโคนขาให้มากที่สุด จึงจะทำให้ดูสวยงามในการปฏิบัติครั้งแรกอาจจะรู้สึกเจ็บและปวดที่บริเวณโคนขาเพราะฉะนั้นต้อง
พยายามหมั่นฝึกฝนเพื่อให้เกิดความเคยชิน
วิธีปฏิบัติท่ากระดกเสี้ยว การปฏิบัติคล้ายกับท่า “กระดกหลัง” แต่ให้ย้ายลำขาที่ยกตั้งขึ้นมาไว้ด้านข้างตรงระดับไหล่ อาจจะกระทำได้ทั้งลักษณะนั่งและยืนเช่นเดียวกัน ถ้าปฏิบัติในลักษณะนั่ง จะต้องเริ่มโดยให้นักเรียนนั่งคุกเข่า ถ้ากระดกขวาให้ดันเข่าขวาออกไปด้านข้างลำตัวให้มากที่สุด ตั้งเข่าขวาและหนีบน่องเช่นท่ากระดกหลัง แต่ปลายเท้าที่หักลงให้ชี้ออกไปทางด้านข้างของลำตัว ที่เรียกว่า “กระดกเสี้ยว” เพราะย้ายส่วนขาที่กระดกมาไว้ข้างลำตัว เช่น ท่ารำในเพลงเชิดฉิ่งของโขนพระ หรือท่ารำในเพลงแม่บท ท่าเมขลาล่อแก้ว จะให้เห็นลักษณะกระดกเสี้ยวเช่นกัน ทั้งการกระดกหลังและกระดกเสี้ยวนี้ ควรให้นักเรียนปฏิบัติเป็นประจำหลังจากการเต้นเสาหรือก่อนรำเพลงช้า – เพลงเร็ว นอกจากปฏิบัติในเวลาเรียนแล้ว นักเรียนอาจจะฝึกฝนตนเองได้โดยใช้กระจก ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นข้อบกพร่อง เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขให้เหมือนกับที่ครูแนะนำสั่งสอน ประการสำคัญคือ นักเรียนจะต้องสังเกตและจดจำลักษณะตำแหน่งของสัดส่วน วง และ เหลี่ยมของครูผู้เป็นรูปแบบได้อย่างแม่นยำ เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดเมื่อนำไปปฏิบัติเอง การฝึกท่าปฏิบัติเบื้องต้นดังที่กล่าวมานั้น นับเป็นจารีตในการเรียนการสอนที่กำหนดให้นักเรียนที่เรียนสาขาโขนพระต้องปฏิบัติอันก่อให้เกิดประโยชน์ในการที่จะเป็นโขนตัวพระได้ดี และสามารถรำได้อย่างถูกต้องและสวยงาม
เมื่อฝึกหัดให้นักเรียน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับท่าฝึกหัด ดัดมือ ดัดแขน และดัดขาแล้ว ขั้นต่อไปที่จะทำการสอน และถือว่ามีความสำคัญมากในการศึกษาวิชานาฏศิลป์ไทย ก็คือ การรำ “เพลงช้า – เพลงเร็ว” ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญ และเป็นแม่ท่าเบื้องต้นอันที่จะเป็นหลักในการฝึกหัดวิชานาฏศิลป์ไทย อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวว่า “เพลงช้า – เพลงเร็ว นี้ เรียกกันว่า “เพลงหน้าพาทย์” หมายความว่า เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงของวงปี่พาทย์ แต่ก่อนไม่มีการขับร้องประกอบ เป็นเพลงที่ใช้เป็นหลักสูตรเบื้องต้นให้กุลบุตรกุลธิดาฝึกหัดรำ ตามแบบแผนที่ครูบาอาจารย์เคยสอนกันมาแต่โบราณ เท่ากับเป็น Basic Dance ของนาฏศิลป์ไทย เพราะมีความจริงปรากฏอยู่ว่า ถ้านักเรียนคนใดรำเพลงช้า – เพลงเร็วได้ดีก็ย่อมจะเป็นศิลปินทางการละครฟ้อนรำได้ดี” (ธนิต อยู่โพธิ์ : ศิลปะละคอนรำ. ๒๕๑๖ ; ๑๕๙) จากคำกล่าวของท่านผู้รู้ ย่อมเชื่อได้ว่า เพลงช้า – เพลงเร็ว เป็นหลักของการฝึกหัดพื้นฐานเบื้องต้น ที่นักเรียนสาขาโขน (พระ) ทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนอยู่เป็นประจำ การฝึกหัดเพลงช้า – เพลงเร็วนั้น เปรียบได้กับการฝึกหัดแม่ท่าของโขนยักษ์ และโขนลิง เพราะท่าทางต่าง ๆ ในการแสดงนั้นย่อมมาจากท่ารำในเพลงช้า – เพลงเร็ว เป็นหลัก วัตถุประสงค์ในการฝึกหัดการรำเพลงช้า – เพลงเร็ว เพื่อให้นักเรียนได้รู้จักการใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ให้ได้รูปร่างตามท่าทางของโขนพระโดยเฉพาะลักษณะการตั้งตัว ตั้งวง และการตั้งเหลี่ยมขาในรูปแบบต่าง ๆ
การฝึกปฏิบัติกิริยาอาการทั่วไปของโขนพระ
๑. การเดิน

ฝึกให้นักเรียนหัดเดินโดยยึดหลักธรรมชาติ คือ ก้าวขาซ้ายแขนขวาอยู่หน้า แขนซ้ายอยู่หลัง ก้าวขาขวา แขนซ้ายอยู่หน้า แขนขวาอยู่หลัง คงไม่มีใครเดินมือเดียวเท้าเดียวกัน คือ ก้าวเท้าขวาแขนขวาอยู่หน้า ก้าวเท้าซ้ายแขนซ้ายอยู่หน้า ซึ่งจะดูเหมือนกับหุ่นยนต์ เมื่อนักเรียนก้าวเท้าได้แล้ว ใช้แขนและมือถูกต้องแล้ว ครูก็ใส่ความสวยงามเข้าไป ในการเดิน โดยให้นักเรียนจีบมือที่ไปอยู่ข้างหน้าเรียกว่า จีบแล้วปล่อยตั้งวง ส่วนแขนหรือมืออยู่ข้างหลังก็ให้จีบหงายมือข้างหลัง เอียงศีรษะตั้งวงอยู่ข้างหน้า เริ่มต้นด้วยการเดินไปข้างหน้า นักเรียนจะต้องยืนเท้าให้เหมือนกันให้ส้นเท้าของเท้าที่จะประอยู่ที่ตรงตาตุ่มของเท้าอีกข้างหนึ่ง ใช้เท้าขวาประเท้ายกมือข้างลำตัว จีบมือขวาทั้งสองข้าง เมื่อนักเรียนก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า มือซ้ายที่จีบอยู่ปล่อยเดินมือไปข้างหน้าแล้วตั้งวง ส่วนมือขวาจีบส่งไปหลัง เอียงศีรษะข้างซ้าย นักเรียนต้องมีจังหวะยืดยุบด้วย เวลาจะประเท้าจะต้องยืดขาขึ้นแล้วยุบย่อเข่าลงประเท้า ยกเท้าก้าวไป เวลาจะก้าวยืดเข่าขึ้น เมื่อก้าวเท้าก็ย่อเข่าลงแล้วก้าวเท้าวาง เมื่อจะเปลี่ยนเท้าก้าวเดินนักเรียนต้องลากเท้าหลัง คือ เท้าซ้ายขึ้นมาเตรียมประเท้า ระหว่างลากเท้าขึ้นมา นักเรียนต้องยืดตัวขึ้นด้วย มือทั้งสองข้างต้องอยู่หน้าตั้งวง มือซ้ายส่งจีบไปข้างหลังพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้ายุบเข่าลงเอียงศีรษะมาทางด้านขวาเรียกว่าการก้าวเดินทั้งซ้าย และขวา ทำเช่นนี้สลับกันไป ๒. การนั่งและการฝึกนั่งกระทบก้น
ฝึกให้นักเรียนฝึกหัดท่านั่งด้วยการเริ่มประเท้าซ้าย (ประนั่ง : นั่งเตียงจะต้องประขาซ้ายเป็นหลักเสมอไป) มือซ้ายตั้งวงหน้าระดับหน้าอก มือขวาจีบคว่ำอยู่ระดับเดียวกับมือซ้ายข้างหน้า เอียงศีรษะข้างซ้าย นักเรียนยืดยุบประเท้าซ้าย ยกขึ้นก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าขวาลงก่อน แล้วหมุนตัวไปทางขวาระหว่างจะหมุนตัวมือขวาที่จีบโบกออกไปอยู่วงข้าง ปล่อยจีบตั้งวง มือซ้ายจีบไปข้างหลัง ตึงแขนเปลี่ยนเอียงศีรษะมาข้างขวา พอหมุนตัวขาข้างซ้ายคุกเข่าลงอีกข้างหนึ่ง เมื่อหมุนตัวกลับส้นเท้าทั้งสองข้างจะเท่ากัน ท่านั่งคุกเข่าก็ลดมือลงมาทั้ง ๒ ข้าง วางที่หน้าขาในลักษณะคว่ำมือเปิดปลายนิ้วขึ้น แต่ถ้านั่งพับเพียบก็ให้พับไปด้านซ้ายจะเก็บขาซ้ายขวาก็จะกันขาออกมามือทั้งสองข้างวางที่หน้าขาแต่มือขวาจะเขยิบมือขึ้นมาเกือบถึงโคนขาขวาแขนซ้ายจะอยู่ในลักษณะเกือบเหยียดแขนตึง ปลายมือจะวางออกไปเกือบถึงเข่าซ้าย ตั้งตัวตรงเตรียมพร้อมที่จะรำท่าต่อไป การฝึกนั่งกระทบก้น ครูให้ฝึกหัดทำโดยการนั่งเกร็งหน้าขาทั้งสองข้างไว้ แล้วยกก้นให้พ้นพื้นเล็กน้อย แล้วกระทบกับพื้นเบาๆ ครูจะเคาะไม้ให้นักเรียนกระทบก้นตามจังหวะการฝึกอันจะเป็นประโยชน์ในการรำเพลงช้าปี่ หรือการรำเพลงอื่นๆ ได้ แต่ที่สำคัญเพลงช้าปี่ต้องหัดกระทบก้นให้ลงจังหวะของหน้าทับเพลงจึงจะรำได้สวยงาม
๓. การคลาน ในการฝึกหัดท่านี้ คือ การคลานเข่า ครูให้นักเรียนนั่งคุกเข่าแยกขาออกประมาณ ๑ คืบ ครูเคาะไม้ นักเรียนเริ่มคลาน โดยจะเริ่มที่ข้างขวาก่อน ยกเข่าขวาให้พ้นพื้นก้าวไปข้างหน้าระหว่างเข่าขวาไปนักเรียนจะต้องพลิกข้อมือทั้ง ๒ หงายขึ้นแล้วคว่ำมือให้มือกับขาไปด้วยกันคือ เข่าขวาไปก่อน มือขวาก็จะตามเข่าขวาไป คือการเหยียดแขนขวาออกไปให้ตึง ส่วนแขนซ้าย งออยู่หน้าขาซ้ายระดับล่าง เอียงศีรษะมาด้านซ้าย จังหวะต่อไปยกเข่าซ้ายให้พ้นพื้นวางไปข้างหน้าเข่าขวาพลิกมือไปด้วย มือซ้ายก็ไปอยู่หน้าตึงแขนขวาวางอยู่เข่าซ้าย มือขวางอแขนอยู่โคนขาขวา เอียงศีรษะมาทางขวา ทำสลับกันไปตามจังหวะ ใช้ในการคลานออกเพลงวา ออกไปนั่งก่อนใช้สำหรับพวกเสนาหรือทหาร หรือการคลานเข้าเฝ้า
๔. การวิ่งชักแป้งผัดหน้า
ครูให้นักเรียนฝึกการหัดวิ่งเรียกว่า การวิ่งซอยเท้าถี่ๆ หรือวิ่งสูดเท้าไปข้างหน้า การวิ่งต้องมีการยืด ยุบไปด้วย เวลาวิ่งต้องชิดเข่าเข้าหากัน มือจีบหันหน้าเข้าหาศีรษะ มือซ้ายตั้งวงหน้าให้ปลายมืออยู่ระดับปากเอียงศีรษะข้างมือจีบ เมื่อวิ่งสูดเท้าไประหว่างยืดยุบหนึ่งครั้งให้เปลี่ยนมือจีบจากขวามาซ้าย จีบขวาตั้งวงทำเช่นนี้สลับกันไป การวิ่งชักแป้งผัดหน้านี้ ใช้ในการวิ่งไปไกล ๆ หรือต้องการใช้ความเร็วกว่าการเดินที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วถึงกระบวนการฝึกหัดโขนพระ จะเริ่มด้วยการคัดเลือกผู้ที่จะเรียนโขนพระ จากนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเรียนในสาขาโขนพระ โดยพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาเป็นสำคัญ เช่นรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ารูปไข่ เนื่องจากเมื่อเวลาสวมชฎาแล้วหน้าจะรับกับชฎา หลังไม่โก่งงอ นิ้วมือนิ้วเท้าครบสมบูรณ์ เป็นต้น จากนั้นก่อนที่จะเริ่มฝึกหัดหรือเริ่มเรียนก็จะต้องทำพิธี “คำนับครู” และไหว้ครูต่อไปตามลำดับ การฝึกหัดจะเริ่มด้วยการหัดพื้นฐานที่เรียกว่า การฝึกหัดเบื้องต้น ซึ่งประกอบด้วย การตบเข่า ถองสะเอว เต้นเสา ถีบเหลี่ยม การดัดมือตลอดจนการฝึกอิริยาบถต่าง ๆ และที่สำคัญก็คือ การฝึกหัดรำเพลงช้า เพลงเร็ว อันถือเป็นแม่ท่าเบื้องต้นของโขนตัวพระ เพราะท่ารำต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดง ล้วนแล้วแต่หยิบยกมาจากท่ารำเพลงช้าเพลงเร็วทั้งสิ้น ซึ่งผู้ฝึกหัดโขนตัวพระจะต้องฝึกหัดให้เกิดความชำนาญ และลำดับต่อไป ก็เป็นการฝึกบท เรื่องที่ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของตัวพระราม พระลักษมณ์ ก็คือการรำตรวจพล การรบ และขึ้นลอย ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจที่สำคัญของโขนตัวพระ เพราะเหตุว่าในการแสดงโขนผู้แสดงเป็นตัวพระราม พระลักษมณ์ จะต้องมีความชำนาญ ในการรำตรวจพลการรบ และขึ้นลอยต่าง