2551/10/14

การฝึกหัดเบื้องต้น

การฝึกหัดเบื้องต้น
หลังจากที่ได้มีการคัดเลือกนักเรียนให้แยกไปเรียนตามสาขาที่ได้รับคัดเลือกแล้วครูผู้สอนก็จะเริ่มสอนการฝึกหัดปฏิบัติท่ารำของวิชานาฏศิลป์โขน่ารำเบื้องต้นที่ผู้เรียนทุกสาขาไม่ว่าจะเปนโขนพระ โขน
ยักษ์ โขนลิง จะต้องฝึกหัดเป็นอันดับแรกได้แก่ การตบเข่า การถองสะเอว และการเต้นเสา
การฝึกหัดทั้ง ๓ รูปแบบนี้รวมเรียกว่า การฝึกหัดเบื้องต้น ซึ่งผู้เรียนทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนของการฝึกเบื้องต้นนี้ก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานในการฝึกหัดรำในโอกาสต่อไป
ขั้นตอนการฝึกปฏิบัติการตบเข่า
การตบเข่า
เป็นการฝึกหัดทักษะเบื้องต้นในเรื่องของการฝึกฝนและนับจังหวะ ซึ่งประกอบด้วยจังหวะปิด และจังหวะเปิด (จังหวะปิด หมายถึง จังหวะของการนับจังหวะที่ ๑ จังหวะที่ ๒และจังหวะที่ ๓ เว้นจังหวะไปตามเสียงไม้เคาะ ส่วนจังหวะเปิด หมายถึง จังหวะของการนับจังหวะ ๑ – ๒ ๓ ติดต่อกัน โดยไม่เว้นจังหวะ)

วิธีปฏิบัติ
ให้นักเรียนนั่งพับเพียบเข้าแถวบนพื้นราบ นั่งพับเพียบทางขวา คือให้ขาขวาทับขาซ้ายแต่ให้ปลายเท้าซ้ายอยู่ตรงเข่าขวา ตั้งลำตัว และศีรษะให้ตรง ตึงหลัง ตึงเอว ให้อกผายไหล่ผึ่งวางมือทั้งสองข้างอยู่บนเข่าทั้งสองข้าง แล้วยกฝ่ามือขวาขึ้นอยู่ในระดับอกของตน ให้เป็นมุมฉากเมื่อครูเคาะสัญญาณ ๑ ครั้ง นักเรียนจะตบมือขวาที่ยกลงไปที่เข่าขวา และยกมือซ้ายอยู่ระดับหน้าอก ตั้งเป็นมุมฉากค้างไว้ พร้อมกับนับ ๑ ต่อจากนั้นเมื่อครูเคาะสัญญาณในจังหวะที่ ๒ นักเรียนจะต้องใช้มือซ้ายตบลงที่เข่าซ้าย และยกมือขวาขึ้นระดับหน้าอกตั้งขึ้นเป็นมุมฉากค้างไว้พร้อมกับนับจังหวะที่ ๒ จังหวะที่ ๓ ครูเคาะสัญญาณอีก ๑ ครั้ง นักเรียนจะตบมือขวาลงที่เข่าขวา และยกมือซ้ายขึ้นอยู่ระดับหน้าอกตั้งเป็นมุมฉากค้างไว้ พร้อมกับนับ ๓ จังหวะของการตบเข่าในแต่ละชุด จะประกอบด้วย จังหวะ ๑, ๒, ๓ โดยจะเริ่มต้นที่มือขวาก่อน และสิ้นสุดที่มือซ้าย นับเป็นชุดที่ ๑ ต่อจากนั้นจึงปฏิบัติสลับกันไปเรื่อย ๆ เมื่อผู้ฝึกปฏิบัติท่าตบเข่าในลักษณะปิดจังหวะ จนเกิดความชำนาญแล้ว ครูผู้สอนก็จะให้ปฏิบัติในลักษณะเปิดจังหวะ โดยจะเคาะสัญญาณ ๒ ครั้ง ให้นักเรียนปฏิบัติท่าตบเข่าเป็นจังหวะ ๑, ๒, ๓ ติดต่อกันไป โดยไม่เป็นจังหวะ
ข้อสังเกตในการฝึกปฏิบัติท่าตบเข่า เนื่องจากท่ารำในการแสดงโขนส่วนใหญ่จะเน้นลีลาการใช้เท้าเป็นสำคัญ ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า เต้นโขน เต้นเขน ทำให้มองเห็นตามว่า ประโยชน์ของการตบเข่า นอกจากจะทำให้นักเรียนมีทักษะในการฟังจังหวะ การนับจังหวะ ตลอดจนการใช้มือและแขนให้สัมพันธ์และถูกต้องตรงจังหวะ การตบเข่ายังเป็นการฝึกปฏิบัติให้นักเรียนรู้จักวิธีการยกเท้าขึ้นลงให้ตรงกับจังหวะ โดยใช้อวัยวะส่วนมือและแขนแทนอวัยวะส่วนขา และเท้าทั้งนี้ เนื่องจากเป็นท่านั่งในการปฏิบัติ เป็นการสอนในเชิงเปรียบเทียบเบื้องต้น เมื่อนักเรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องของการยกมือ และแขนในท่าตบเข่าแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในท่าของการเต้นเสาได้อย่างถูกต้องตามแบบแผน

การถองสะเอว เป็นการฝึกทักษะให้นักเรียนรู้จักการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อันได้แก่ใบหน้า ลำคอ ไหล่ แขน ลำตัว ให้มีความสัมพันธ์กัน
วิธีปฏิบัติ
ท่าถองสะเอว คือ ให้ผู้เรียนนั่งพับเพียบเข้าแถวบนพื้นราบ ตั้งตัวตรงเช่นเดียวกับการตบเข่า จากนั้นยกแขนทั้งสองขึ้นข้างลำตัว งอแขนให้ข้อศอกอยู่ระดับเอว มือทั้งสองกำมือและหงายมือขึ้น การนับจังหวะปฏิบัติเช่นเดียวกับการตบเข่า คือทำเป็นชุด นับ ๑, ๒, ๓ ปิด – เปิดจังหวะเช่นเดียวกัน โดยเริ่มจาก ใช้ข้อศอกขวากระทุ้งที่สะเอวด้านขวาเป็นจังหวะที่ ๑ เอียงศีรษะไปทางซ้าย กดไหล่ซ้าย กดลำตัวหรือสะเอว ด้านขวาที่ข้อศอกกระทุ้ง มือซ้ายยันออกไปข้างซ้ายเล็กน้อย นับ ๑ จังหวะที่ ๒ กระทุ้งข้อศอกซ้ายที่สะเอวซ้าย เอียงศีรษะไปทางขวา กดไหล่ขวากดลำตัวหรือสะเอวซ้าย มือขวายันออกไปทางขวาเล็กน้อย นับ ๒ จังหวะที่ ๓ กระทุ้งข้อศอกขวาที่สะเอวขวาเอียงศีรษะทางซ้ายกดไหล่ขวา กดลำตัวหรือสะเอวขวา มือซ้ายยันออกไปทางซ้ายเล็กน้อย นับ ๒ ถือเป็นการจบชุดที่ ๑ ของการฝึกปฏิบัติถองสะเอว และปฏิบัติดังนี้สลับกันไป
ข้อสังเกตในการฝึกปฏิบัติท่าถองสะเอว ของสาขาโขนพระ โขนยักษ์ และโขนลิงจะมีความแตกต่างกัน ท่าถองสะเอวของโขนยักษ์ และโขนลิงจะไม่มีความซับซ้อน ในเรื่องของการใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเหมือนกับโขนพระ การปฏิบัติท่าถองสะเอวโขนยักษ์ และโขนลิง เมื่อใช้ข้อศอกกระทุ้งไปที่สะเอว จะเป็นด้านซ้ายหรือด้านขวาก็ตาม ลำตัวและศีรษะจะเอียงไปตามมือที่ยันออกไปข้างลำตัว จะไม่มีการกดไหล่หรือกดลำตัวหรือสะเอวดังเช่นการปฏิบัติ ของโขนพระ ทั้งนี้เนื่องมาจากท่ารำท่าเต้น ของโขนยักษ์ และโขนลิง จะเน้นที่ลีลาการใช้เท้าเป็นสำคัญ ซึ่งต่างจากท่ารำของโขนพระ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน การฝึกในท่านี้ส่วนใหญ่นักเรียนจะปฏิบัติผิด คือการยักคอ โดยที่ใบหน้าเหลียวตามไปทางซ้าย และทางขวาด้วย
วิธีแก้ไขในขณะหน้าตรง ให้นักเรียนมองและจับสายตาไปที่จุดใดจุดหนึ่งตรงหน้า เพื่อไม่ให้ละสายตาจากจุดนั้น จะช่วยให้ใบหน้าของนักเรียนอยู่ตรงเสมอ หรือการเอียงศีรษะก็เอียงทางใบหู หน้าจะไม่เหลียวไปมองทางซ้าย หรือทางขวา
การเต้นเสา
ช่วยให้ผู้เรียนมีพละกำลังสูงที่อวัยวะส่วนขาอย่างแข็งแรง และมั่นคง ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการแสดงโขน ทั้ง โขนพระ โขนยักษ์ และโขนลิง ทั้งยังเป็นการฝึกความพร้อมเพรียงและความมีระเบียบแบบแผนในการจัดแถวด้วย
วิธีปฏิบัติ
การเต้นเสา จะเริ่มโดยให้นักเรียนย่อเข่า ตั้งเหลี่ยม เหยียดแขนทั้งสอง ตั้งมือตึงออกไป ข้างหน้าระดับหัวไหล่ หน้าตรง ต่อจากนั้นยกเท้าขวามาวางลงชิดเท้าซ้าย พร้อมทั้งยกเท้าซ้ายขึ้นนับ ๑ แล้วจึงวางเท้าซ้ายลงชิดส้นเท้าขวา พร้อมกับยกเท้าขวาขึ้น นับ ๒ แล้ววางเท้าขวาที่ยกลงชิดส้นเท้าซ้าย พร้อมกับยกเท้าซ้ายขึ้น นับ ๓ จะอยู่ในท่ายกเท้าซ้ายค้างไว้ในลักษณะหันเข่าซ้ายออกไปทางซ้าย และเท้าซ้ายก็ยกหนีบน่อง หักข้อเท้าและตึงปลายนิ้วเท้าขึ้น ลำตัวตั้งตรงเหมือนเดิม (ลักษณะเช่นนี้คล้ายกับท่าตบเข่า) จากนั้นวางเท้าซ้าย เต้นขึ้น – ลง สลับกับเท้าขวาตามจังหวะที่ครูเคาะสัญญาณ วิธีหยุดการเต้นเสาจะใช้การนับจังหวะ เมื่อครูเคาะสัญญาณให้เริ่มนับจังหวะ นักเรียนจะเริ่มนับจังหวะเท้าซ้ายที่เต้นเป็นหลัก โดยเริ่มนับจังหวะเท้าขวาที่เต้นลงนับเป็น ๑ แล้วเว้นจังหวะเท้าที่เต้นไปอีก ๓ จังหวะ แล้วจึงนับเท้าขวาที่เต้นเป็นจังหวะที่ ๔ เป็น ๒
การหยุดนั้นขึ้นกับครูผู้ให้นับจังหวะ อาจจะนับเพียง ๑๐ จังหวะ หรือ ๑๐๐ – ๑,๐๐๐ จังหวะก็ได้ นอกจากนั้นอาจจะให้หยุดเต้นตามกำหนดระยะเวลาที่ครูกำหนดให้ ข้อสังเกตในการฝึกปฏิบัติท่าเต้นเสา สาเหตุที่เรียกท่าปฏิบัตินี้ว่าท่าเต้นเสา สืบเนื่องมาจากการฝึกหัดโขนในสมัยโบราณนั้น นักเรียนจะเต้นโดยใช้แขนเหยียดตึงทาบกับเสา ผู้ฝึกคนต่อไปก็จะใช้แขนเหยียดตึง และทาบมือไปกับแผ่นหลังของคนที่อยู่ข้างหน้า หรือบางทีใช้มือจับสะเอวของคนหน้า ปฏิบัติเช่นนี้ต่อ ๆ กันไป ด้วยเหตุของการเต้นที่เต้นกับเสานี้ จึงทำให้เรียกการเต้นชนิดนี้ว่า “เต้นเสา” การเต้นเสานี้ เน้นในเรื่องจังหวะเท้าที่เต้นลงให้เท่ากัน การวางเท้าชิดกัน การย่อ การแบะเข่า และการยกเท้า การวางลำตัวให้ตรง ไม่ส่ายขณะเต้น เพราะนักเรียนที่ฝึกหัดใหม่ยังไม่รู้จักการทรงตัว จะทำให้เกิดการส่าย หรือโคลงลำตัวขณะเต้นเสา การเต้นเสานี้ นักเรียนต้องเต้นอย่างจริงจัง หนักแน่น ถ้าปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะทำให้กำลังอยู่ตัว กำลังขาดี สามารถทรงตัวได้ดีในท่าที่ต้องการยกขา
เมื่อปฏิบัติท่าฝึกหัดเบื้องต้นทั้ง 3 ท่าแล้ว ครูจะดัดเหลี่ยมให้แก่ผู้เรียนที่เรียกว่า “การถีบเหลี่ยม” การถีบเหลี่ยมนั้น นักเรียนโขนพระ โขนยักษ์ โขนลิง จะต้องผ่านการถีบเหลี่ยมทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนมีท่าทางที่ดูสวยงาม และเหลี่ยมที่ถูกต้องตามแบบแผนแต่โบราณ

การถีบเหลี่ยม

วิธีการถีบเหลี่ยม ให้นักเรียนยืนเอาหลังยันกับเสา ย่อขาและแบะเข่าทั้ง ๒ ออกไปด้านข้าง แล้วครูใช้เท้าทั้ง ๒ วางที่บริเวณหน้าขาของนักเรียน ค่อยๆ ยันเข่าของนักเรียนให้แบะออกไปด้านข้างทีละน้อย จนเข่าของนักเรียนแบะออกได้เส้นขนานกับแนวไหล่ เมื่อได้ที่แล้วจะนิ่งไว้สักครู่ จากนั้นให้นักเรียนบิดตัวเอี้ยวไปทางขวา และซ้าย เพื่อให้เส้นยืด ต่อจากนั้นครูจึงค่อย ๆ ถอนเท้าของครูออกจากหน้าขาของนักเรียน พร้อมกับให้นักเรียนยืนตึงเข่า ถือว่าสิ้นสุดการถีบเหลี่ยม
หลักการถีบเหลี่ยม คือ จัดท่าการย่อและวงให้ได้สัดส่วน น้ำหนักเท้าที่ถีบต้องเท่ากันขณะถีบต้องค่อย ๆ ถีบทีละน้อย ครูจะต้องสังเกตเหลี่ยมของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน บางคนเหลี่ยมอ่อนบางคนเหลี่ยมแข็ง เพราะเส้นเอ็นตึง การสอนต้องใช้ความอดทน ค่อย ๆ ถีบไปวันละน้อย
ปัญหาในการถีบเหลี่ยม คือ นักเรียนจะเจ็บปวด และเกิดอาการกลัวการถีบเหลี่ยม ฉะนั้นในขณะที่ถีบเหลี่ยม ครูต้องใช้จิตวิทยาประกอบด้วย เช่นการพูดให้กำลังใจ การซักถามพูดคุย เรื่องอื่น ๆ เพื่อให้นักเรียนลืมความเจ็บปวด

การถีบเหลี่ยมต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักเรียนใหม่ ต้องถีบทุกวันภายในระยะ
๓ เดือนแรก และต่อไปผ่อนถีบอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง สิ่งที่ครู และนักเรียนควรระวังในการถีบเหลี่ยม คือ ห้ามนักเรียนปฏิบัติต่อไปนี้
๑. การยืดตัวขึ้นในขณะถีบเหลี่ยม
๒. การเอามือยันขาตนเอง

๓. การคว่ำตัวลงมาข้างหน้า

๔. การเดินเท้า (การเลื่อนเท้าหรือขยับเท้าให้เคลื่อนออกไปจากจุดเดิม) ทำให้เหลี่ยมกว้างทั้ง ๔ ประการนี้ ครูและนักเรียนระวังมิให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้เท้า และขาของนักเรียนเสียได้ ส่วนนักเรียน นอกจากต้องระวังทั้ง ๔ ประการดังกล่าวแล้ว ควรปฏิบัติดังนี้ คือ
- ในขณะที่ถูกถีบเหลี่ยมไม่ควรเกร็งกล้ามเนื้อขา ต้องค่อย ๆ ผ่อนตามแรงเท้าของครูจะช่วยลดความเจ็บปวดได้มาก
- ถ้าไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้ ต้องรีบบอกให้ครูทราบ ห้ามทำการอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ ประการข้างต้นโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เท้าหรือขาเสียได้
- ไม่ควรเลี่ยงหลบหลีกหนีการถีบเหลี่ยม เพราะการที่ได้ถีบเหลี่ยมบ่อย ๆ จะทำให้เหลี่ยมอ่อน และจะมีประโยชน์ต่อการรำอย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีวิธีดัดอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของนักเรียนีก ทั้งนี้เพื่อช่วยให้อวัยวะแต่ละส่วนมีความพร้อม และสมบูรณ์ในการร่ายรำยิ่งขึ้น ซึ่งได้ยึดถือปฏิบัติกันมาจนทุกวันนี้ ได้แก่

ดัดการข้อมือ และดัดแขนระทำได้ ๒ วิธี คือ ครูเป็นผู้หักข้อมือให้ภายหลังที่เสร็จจากการถีบเหลี่ยม และแนะนำวิธีให้นักเรียนปฏิบัติเองภายหลังการเต้นเสาแล้ว ก่อนหรือหลังการรำเพลงช้า – เพลงเร็ว การกำหนดวิธีการหักข้อมือและการดัดแขน ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนจะเป็นผู้กำหนดให้ปฏิบัติ แล้วแต่ความเหมาะสม
วิธีที่ ๑ ให้นักเรียนนั่งหันหน้าเข้าหาครู ตั้งข้อมือเหยียดแขนมาทางด้านหน้า ครูใช้มือซ้ายจับข้อศอก มือขวาจับฝ่ามือนักเรียน กดน้ำหนักดัดข้อมือตั้งขึ้นดันไปทางข้อศอกจนตึง เมื่อดัดข้อมือแล้ว ครูเลื่อนมือจับที่ปลายนิ้วทั้ง ๔ แล้วดัดนิ้วให้หงายอ่อนไปทางข้อศอก
ข้อควรระวังในการปฏิบัติของครู คืออย่าหักนิ้วมือพร้อมกับหักข้อมือ เพราะจะทำให้นิ้วมือเสียได้ และต้องระวังอย่าให้นักเรียนยกไหล่ หรือบิดตัว เนื่องจากเมื่อครูหักข้อมือและนิ้วมือแล้ว จะมีความรู้สึกเจ็บปวด เมื่อไม่สามารถทนได้ก็จะแสดงออกมาในลักษณะดังกล่าว ซึ่งจะทำให้มือและแขนของนักเรียนเสียได้ เพราะฉะนั้นครูจึงต้องควรระมัดระวัง

วิธีแก้ไข ครูจะต้องผ่อนการกระทำอย่าหักโหม โดยเฉพาะนักเรียนที่กระดูกมือค่อนข้างแข็ง ครูจึงต้องพยายามดัดให้ทีละน้อยและเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งสามารถช่วยให้มือของนักเรียนอ่อนได้ ทั้งนี้จะต้องกระทำด้วยความสม่ำเสมอ ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะลักษณะของมือที่สวยงามจะเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้การร่ายรำของผู้นั้นสวยงามยิ่งขึ้น
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อเห็นนักเรียนยกไหล่หรือบิดลำตัว ครูจะต้องห้ามปรามทันทีและจะต้องให้คำแนะนำหรืออธิบายให้นักเรียนทราบถึงข้อเสียที่จะตามมา พร้อมกันนี้ครูอาจหาวิธีที่จะช่วยให้นักเรียนคลายความเจ็บปวดได้ด้วยการพูดคุย ซักถาม ซึ่งถือเป็นกลวิธีทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
วิธีที่ ๒ วิธีนี้ครูเป็นแต่เพียงผู้แนะนำวิธี และให้นักเรียนปฏิบัติตนเอง โดยครูคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งสามารถกระทำได้หลายลักษณะ
ลักษณะที่
เป็นวิธีที่เน้นการดัดข้อมือและนิ้วมือโดยเฉพาะ ให้ผู้เรียนนั่งพับเพียบ หันเท้าไปทางขวา แขนซ้ายวางไว้บนเหนือเข่าซ้าย ตั้งข้อมือซ้ายขึ้นพร้อมทั้งโน้มตัวลงมาทางซ้าย ใช้มือขวาจับที่มือซ้ายกดน้ำหนักดัดข้อมือ และเลื่อนมาที่ปลายนิ้วให้หงายมาทางลำแขนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อทำข้างซ้ายเสร็จแล้วให้เปลี่ยนมาทำทางขวา ซึ่งมีวิธีปฏิบัติเหมือนกัน
ในขณะที่นักเรียนปฏิบัติ ครูจะต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความถูกต้อง และอีกประการหนึ่ง การดัดมือและนิ้วนี้ทำให้เกิดความเจ็บปวด นักเรียนบางคนอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังนั้นครูจึงต้องคอยควบคุมและสอดส่องดูแลอยู่เสมอ
ลักษณะที่
เป็นวิธีหักนิ้วมือและแขน ปฏิบัติโดยให้ผู้เรียนนั่งราบกับพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น แยกขาออกจากกันเล็กน้อย ถ้าดัดมือและแขนซ้าย ให้ยกแขนซ้ายขึ้นพาดเข่าซ้าย ให้ข้อศอกตรงกับเข่า เหยียดแขนตึง ตั้งปลายนิ้วขึ้น ยกเท้าขวาพาดไว้บนหลังข้อมือซ้าย ให้ข้อเท้ากับข้อมือตรงกัน ใช้มือขวาจับปลายนิ้ว แล้วหักเข้าหาลำแขน ท่านี้เป็นการดัดช่วงแขนและมือไปในตัวถ้าดัดข้างขวาก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ในการปฏิบัติต้องให้ทำทั้ง ๒ ข้าง
ในขณะปฏิบัติ ครูควรเน้นเรื่องการวางข้อศอกให้ตรงกับเข่า เพราะถ้าทำไม่ถูกวิธีก็จะไม่ได้ผล นอกจากนี้ต้องคอยระวังการยกไหล่ของผู้เรียนซึ่งอาจจะทำให้ติดตัวผู้เรียนโดยไม่รู้ตัวซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียในการรำ
ลักษณะที่

เป็นวิธีดัดมือและแขนเช่นกัน ให้นักเรียนนั่งยกเข่าทั้ง ๒ ขึ้น เท้าชิดกัน ลำตัวตรง ตึงเอวตึงไหล่ ประสานมือเข้าด้วยกัน หักฝ่ามือออก ให้แขนอยู่ภายในระหว่างเข่าทั้ง ๒ ข้าง ข้อศอกอยู่บริเวณเข่าจากนั้นค่อย ๆ บีบเข่าเข้าหากัน พยายามให้ข้อพับของลำแขนชิดกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ข้อเสนอแนะ วิธีดัดมือและแขนในลักษณะต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นวิธีที่นักเรียนสามารถทำด้วยตนเองได้ เมื่อได้รับคำแนะนำจากครูแล้ว นอกเหนือจากการปฏิบัติในชั้นเรียน นักเรียนควรหาโอกาสและเวลาช่วยตนเองเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเคยชิน ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จะมีประโยชน์ต่อนักเรียนอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เริ่มฝึกหัดใหม่ ๆ นี้ นักเรียนยังมีอายุน้อยกระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายยังอ่อนอยู่ ง่ายต่อการดัด เปรียบได้กับสุภาษิตที่ว่า“ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” ฉันใด การปฏิบัติต่าง ๆ ดังกล่าวก็ฉันนั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ คุณครูวงศ์ ล้อมแก้ว ได้กล่าวว่า ในตอนเช้า ๆ ให้เอาน้ำข้าวพออุ่น ๆ ใส่อ่างหรือชามก็ได้ แล้วเอามือแช่ลงไปแล้วนวด และดัดข้อมือและนิ้วมือดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้นิ้วมืออ่อนได้ดีอีกวิธีหนึ่งแต่ในปัจจุบันนี้คงจะกระทำได้ยาก เพราะการหุงข้าวในปัจจุบันนี้จะใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้ากันหมดทำให้ไม่มีน้ำข้าวเหมือนการหุงข้าวในสมัยโบราณ แต่อย่างไรก็ตามถ้านักเรียนได้กระทำการดัดมือด้วยตนเองไม่ว่าจะอยู่ในโอกาสใดก็ตาม ก็มีส่วนทำให้ข้อมือและนิ้วมืออ่อนและสวยงามได้เช่นกัน
เมื่อดัดข้อมือและแขนแล้ว ขั้นต่อไปเป็นการดัดอวัยวะส่วนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ขาและเท้า เนื่องจากลักษณะที่สำคัญของการแสดงนาฏศิลป์ไทย ถือว่าอวัยวะทุกส่วนของร่างกายมีความสำคัญ จะต้องผสมผสานกลมกลืนและสอดคล้องกัน นับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ขั้นแรกของการดัดขาและเท้า ครูจะให้นักเรียนหัดกระดกเท้า ซึ่งเป็นการดัดอวัยวะตั้งแต่ส่วนเอวไปจนถึงปลายเท้า การกระดกเท้านี้มี ๒ ลักษณะ คือ กระดกหลัง และกระดกเสี้ยว
การกระดกเท้าทั้ง ๒ ลักษณะนี้ จะเห็นว่าปรากฏอยู่ในลีลาการรำของนาฏศิลป์ไทย แต่ท่า กระดกหลัง นั้นโอกาสที่ใช้มีมากกว่าท่า “กระดกเสี้ยว” เช่น ในการรำเพลง “เชิดฉิ่งแผลงศร” หรือ “เชิดฉิ่งศรทนง” เป็นต้น
วิธีปฏิบัติท่า
กระดกหลัง
ให้ผู้เรียนนั่งคุกเข่า ตั้งลำตัวและศีรษะตรง ตึงเอว ตึงไหล่ ดันเข่าขวา ส่งปลายเท้าไป ทางด้านหลัง ตั้งเข่าขวาขึ้น หักข้อเท้าลง มือทั้ง ๒ ข้างเท้าสะเอว หรืออาจให้ผู้เรียนปฏิบัติใน ลักษณะยืนกระดกก็ได้ โดยยืนด้วยเท้าซ้าย แล้วยกเท้าขวาส่งปลายเท้าไปด้านหลัง หักข้อเท้าลง พร้อมกับย่อเข่าซ้ายเล็กน้อย ในการปฏิบัติควรเน้นให้นักเรียนพยายามส่งเข่าไปด้านหลังมาก ๆ และพยายามหนีบน่องกับบริเวณโคนขาด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และระวังการทรงตัวของผู้เรียน
การกระดกหลังนี้ ต้องส่งเข่าไปข้างหลังมาก ๆ และพยายามหนีบน่องเข้าหาโคนขาให้มากที่สุด จึงจะทำให้ดูสวยงามในการปฏิบัติครั้งแรกอาจจะรู้สึกเจ็บและปวดที่บริเวณโคนขาเพราะฉะนั้นต้อง
พยายามหมั่นฝึกฝนเพื่อให้เกิดความเคยชิน
วิธีปฏิบัติท่ากระดกเสี้ยว การปฏิบัติคล้ายกับท่า “กระดกหลัง” แต่ให้ย้ายลำขาที่ยกตั้งขึ้นมาไว้ด้านข้างตรงระดับไหล่ อาจจะกระทำได้ทั้งลักษณะนั่งและยืนเช่นเดียวกัน ถ้าปฏิบัติในลักษณะนั่ง จะต้องเริ่มโดยให้นักเรียนนั่งคุกเข่า ถ้ากระดกขวาให้ดันเข่าขวาออกไปด้านข้างลำตัวให้มากที่สุด ตั้งเข่าขวาและหนีบน่องเช่นท่ากระดกหลัง แต่ปลายเท้าที่หักลงให้ชี้ออกไปทางด้านข้างของลำตัว ที่เรียกว่า “กระดกเสี้ยว” เพราะย้ายส่วนขาที่กระดกมาไว้ข้างลำตัว เช่น ท่ารำในเพลงเชิดฉิ่งของโขนพระ หรือท่ารำในเพลงแม่บท ท่าเมขลาล่อแก้ว จะให้เห็นลักษณะกระดกเสี้ยวเช่นกัน ทั้งการกระดกหลังและกระดกเสี้ยวนี้ ควรให้นักเรียนปฏิบัติเป็นประจำหลังจากการเต้นเสาหรือก่อนรำเพลงช้า – เพลงเร็ว นอกจากปฏิบัติในเวลาเรียนแล้ว นักเรียนอาจจะฝึกฝนตนเองได้โดยใช้กระจก ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นข้อบกพร่อง เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขให้เหมือนกับที่ครูแนะนำสั่งสอน ประการสำคัญคือ นักเรียนจะต้องสังเกตและจดจำลักษณะตำแหน่งของสัดส่วน วง และ เหลี่ยมของครูผู้เป็นรูปแบบได้อย่างแม่นยำ เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดเมื่อนำไปปฏิบัติเอง การฝึกท่าปฏิบัติเบื้องต้นดังที่กล่าวมานั้น นับเป็นจารีตในการเรียนการสอนที่กำหนดให้นักเรียนที่เรียนสาขาโขนพระต้องปฏิบัติอันก่อให้เกิดประโยชน์ในการที่จะเป็นโขนตัวพระได้ดี และสามารถรำได้อย่างถูกต้องและสวยงาม
เมื่อฝึกหัดให้นักเรียน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับท่าฝึกหัด ดัดมือ ดัดแขน และดัดขาแล้ว ขั้นต่อไปที่จะทำการสอน และถือว่ามีความสำคัญมากในการศึกษาวิชานาฏศิลป์ไทย ก็คือ การรำ “เพลงช้า – เพลงเร็ว” ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญ และเป็นแม่ท่าเบื้องต้นอันที่จะเป็นหลักในการฝึกหัดวิชานาฏศิลป์ไทย อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวว่า “เพลงช้า – เพลงเร็ว นี้ เรียกกันว่า “เพลงหน้าพาทย์” หมายความว่า เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงของวงปี่พาทย์ แต่ก่อนไม่มีการขับร้องประกอบ เป็นเพลงที่ใช้เป็นหลักสูตรเบื้องต้นให้กุลบุตรกุลธิดาฝึกหัดรำ ตามแบบแผนที่ครูบาอาจารย์เคยสอนกันมาแต่โบราณ เท่ากับเป็น Basic Dance ของนาฏศิลป์ไทย เพราะมีความจริงปรากฏอยู่ว่า ถ้านักเรียนคนใดรำเพลงช้า – เพลงเร็วได้ดีก็ย่อมจะเป็นศิลปินทางการละครฟ้อนรำได้ดี” (ธนิต อยู่โพธิ์ : ศิลปะละคอนรำ. ๒๕๑๖ ; ๑๕๙) จากคำกล่าวของท่านผู้รู้ ย่อมเชื่อได้ว่า เพลงช้า – เพลงเร็ว เป็นหลักของการฝึกหัดพื้นฐานเบื้องต้น ที่นักเรียนสาขาโขน (พระ) ทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนอยู่เป็นประจำ การฝึกหัดเพลงช้า – เพลงเร็วนั้น เปรียบได้กับการฝึกหัดแม่ท่าของโขนยักษ์ และโขนลิง เพราะท่าทางต่าง ๆ ในการแสดงนั้นย่อมมาจากท่ารำในเพลงช้า – เพลงเร็ว เป็นหลัก วัตถุประสงค์ในการฝึกหัดการรำเพลงช้า – เพลงเร็ว เพื่อให้นักเรียนได้รู้จักการใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ให้ได้รูปร่างตามท่าทางของโขนพระโดยเฉพาะลักษณะการตั้งตัว ตั้งวง และการตั้งเหลี่ยมขาในรูปแบบต่าง ๆ
การฝึกปฏิบัติกิริยาอาการทั่วไปของโขนพระ
๑. การเดิน

ฝึกให้นักเรียนหัดเดินโดยยึดหลักธรรมชาติ คือ ก้าวขาซ้ายแขนขวาอยู่หน้า แขนซ้ายอยู่หลัง ก้าวขาขวา แขนซ้ายอยู่หน้า แขนขวาอยู่หลัง คงไม่มีใครเดินมือเดียวเท้าเดียวกัน คือ ก้าวเท้าขวาแขนขวาอยู่หน้า ก้าวเท้าซ้ายแขนซ้ายอยู่หน้า ซึ่งจะดูเหมือนกับหุ่นยนต์ เมื่อนักเรียนก้าวเท้าได้แล้ว ใช้แขนและมือถูกต้องแล้ว ครูก็ใส่ความสวยงามเข้าไป ในการเดิน โดยให้นักเรียนจีบมือที่ไปอยู่ข้างหน้าเรียกว่า จีบแล้วปล่อยตั้งวง ส่วนแขนหรือมืออยู่ข้างหลังก็ให้จีบหงายมือข้างหลัง เอียงศีรษะตั้งวงอยู่ข้างหน้า เริ่มต้นด้วยการเดินไปข้างหน้า นักเรียนจะต้องยืนเท้าให้เหมือนกันให้ส้นเท้าของเท้าที่จะประอยู่ที่ตรงตาตุ่มของเท้าอีกข้างหนึ่ง ใช้เท้าขวาประเท้ายกมือข้างลำตัว จีบมือขวาทั้งสองข้าง เมื่อนักเรียนก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า มือซ้ายที่จีบอยู่ปล่อยเดินมือไปข้างหน้าแล้วตั้งวง ส่วนมือขวาจีบส่งไปหลัง เอียงศีรษะข้างซ้าย นักเรียนต้องมีจังหวะยืดยุบด้วย เวลาจะประเท้าจะต้องยืดขาขึ้นแล้วยุบย่อเข่าลงประเท้า ยกเท้าก้าวไป เวลาจะก้าวยืดเข่าขึ้น เมื่อก้าวเท้าก็ย่อเข่าลงแล้วก้าวเท้าวาง เมื่อจะเปลี่ยนเท้าก้าวเดินนักเรียนต้องลากเท้าหลัง คือ เท้าซ้ายขึ้นมาเตรียมประเท้า ระหว่างลากเท้าขึ้นมา นักเรียนต้องยืดตัวขึ้นด้วย มือทั้งสองข้างต้องอยู่หน้าตั้งวง มือซ้ายส่งจีบไปข้างหลังพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้ายุบเข่าลงเอียงศีรษะมาทางด้านขวาเรียกว่าการก้าวเดินทั้งซ้าย และขวา ทำเช่นนี้สลับกันไป ๒. การนั่งและการฝึกนั่งกระทบก้น
ฝึกให้นักเรียนฝึกหัดท่านั่งด้วยการเริ่มประเท้าซ้าย (ประนั่ง : นั่งเตียงจะต้องประขาซ้ายเป็นหลักเสมอไป) มือซ้ายตั้งวงหน้าระดับหน้าอก มือขวาจีบคว่ำอยู่ระดับเดียวกับมือซ้ายข้างหน้า เอียงศีรษะข้างซ้าย นักเรียนยืดยุบประเท้าซ้าย ยกขึ้นก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าขวาลงก่อน แล้วหมุนตัวไปทางขวาระหว่างจะหมุนตัวมือขวาที่จีบโบกออกไปอยู่วงข้าง ปล่อยจีบตั้งวง มือซ้ายจีบไปข้างหลัง ตึงแขนเปลี่ยนเอียงศีรษะมาข้างขวา พอหมุนตัวขาข้างซ้ายคุกเข่าลงอีกข้างหนึ่ง เมื่อหมุนตัวกลับส้นเท้าทั้งสองข้างจะเท่ากัน ท่านั่งคุกเข่าก็ลดมือลงมาทั้ง ๒ ข้าง วางที่หน้าขาในลักษณะคว่ำมือเปิดปลายนิ้วขึ้น แต่ถ้านั่งพับเพียบก็ให้พับไปด้านซ้ายจะเก็บขาซ้ายขวาก็จะกันขาออกมามือทั้งสองข้างวางที่หน้าขาแต่มือขวาจะเขยิบมือขึ้นมาเกือบถึงโคนขาขวาแขนซ้ายจะอยู่ในลักษณะเกือบเหยียดแขนตึง ปลายมือจะวางออกไปเกือบถึงเข่าซ้าย ตั้งตัวตรงเตรียมพร้อมที่จะรำท่าต่อไป การฝึกนั่งกระทบก้น ครูให้ฝึกหัดทำโดยการนั่งเกร็งหน้าขาทั้งสองข้างไว้ แล้วยกก้นให้พ้นพื้นเล็กน้อย แล้วกระทบกับพื้นเบาๆ ครูจะเคาะไม้ให้นักเรียนกระทบก้นตามจังหวะการฝึกอันจะเป็นประโยชน์ในการรำเพลงช้าปี่ หรือการรำเพลงอื่นๆ ได้ แต่ที่สำคัญเพลงช้าปี่ต้องหัดกระทบก้นให้ลงจังหวะของหน้าทับเพลงจึงจะรำได้สวยงาม
๓. การคลาน ในการฝึกหัดท่านี้ คือ การคลานเข่า ครูให้นักเรียนนั่งคุกเข่าแยกขาออกประมาณ ๑ คืบ ครูเคาะไม้ นักเรียนเริ่มคลาน โดยจะเริ่มที่ข้างขวาก่อน ยกเข่าขวาให้พ้นพื้นก้าวไปข้างหน้าระหว่างเข่าขวาไปนักเรียนจะต้องพลิกข้อมือทั้ง ๒ หงายขึ้นแล้วคว่ำมือให้มือกับขาไปด้วยกันคือ เข่าขวาไปก่อน มือขวาก็จะตามเข่าขวาไป คือการเหยียดแขนขวาออกไปให้ตึง ส่วนแขนซ้าย งออยู่หน้าขาซ้ายระดับล่าง เอียงศีรษะมาด้านซ้าย จังหวะต่อไปยกเข่าซ้ายให้พ้นพื้นวางไปข้างหน้าเข่าขวาพลิกมือไปด้วย มือซ้ายก็ไปอยู่หน้าตึงแขนขวาวางอยู่เข่าซ้าย มือขวางอแขนอยู่โคนขาขวา เอียงศีรษะมาทางขวา ทำสลับกันไปตามจังหวะ ใช้ในการคลานออกเพลงวา ออกไปนั่งก่อนใช้สำหรับพวกเสนาหรือทหาร หรือการคลานเข้าเฝ้า
๔. การวิ่งชักแป้งผัดหน้า
ครูให้นักเรียนฝึกการหัดวิ่งเรียกว่า การวิ่งซอยเท้าถี่ๆ หรือวิ่งสูดเท้าไปข้างหน้า การวิ่งต้องมีการยืด ยุบไปด้วย เวลาวิ่งต้องชิดเข่าเข้าหากัน มือจีบหันหน้าเข้าหาศีรษะ มือซ้ายตั้งวงหน้าให้ปลายมืออยู่ระดับปากเอียงศีรษะข้างมือจีบ เมื่อวิ่งสูดเท้าไประหว่างยืดยุบหนึ่งครั้งให้เปลี่ยนมือจีบจากขวามาซ้าย จีบขวาตั้งวงทำเช่นนี้สลับกันไป การวิ่งชักแป้งผัดหน้านี้ ใช้ในการวิ่งไปไกล ๆ หรือต้องการใช้ความเร็วกว่าการเดินที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วถึงกระบวนการฝึกหัดโขนพระ จะเริ่มด้วยการคัดเลือกผู้ที่จะเรียนโขนพระ จากนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเรียนในสาขาโขนพระ โดยพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาเป็นสำคัญ เช่นรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ารูปไข่ เนื่องจากเมื่อเวลาสวมชฎาแล้วหน้าจะรับกับชฎา หลังไม่โก่งงอ นิ้วมือนิ้วเท้าครบสมบูรณ์ เป็นต้น จากนั้นก่อนที่จะเริ่มฝึกหัดหรือเริ่มเรียนก็จะต้องทำพิธี “คำนับครู” และไหว้ครูต่อไปตามลำดับ การฝึกหัดจะเริ่มด้วยการหัดพื้นฐานที่เรียกว่า การฝึกหัดเบื้องต้น ซึ่งประกอบด้วย การตบเข่า ถองสะเอว เต้นเสา ถีบเหลี่ยม การดัดมือตลอดจนการฝึกอิริยาบถต่าง ๆ และที่สำคัญก็คือ การฝึกหัดรำเพลงช้า เพลงเร็ว อันถือเป็นแม่ท่าเบื้องต้นของโขนตัวพระ เพราะท่ารำต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดง ล้วนแล้วแต่หยิบยกมาจากท่ารำเพลงช้าเพลงเร็วทั้งสิ้น ซึ่งผู้ฝึกหัดโขนตัวพระจะต้องฝึกหัดให้เกิดความชำนาญ และลำดับต่อไป ก็เป็นการฝึกบท เรื่องที่ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของตัวพระราม พระลักษมณ์ ก็คือการรำตรวจพล การรบ และขึ้นลอย ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจที่สำคัญของโขนตัวพระ เพราะเหตุว่าในการแสดงโขนผู้แสดงเป็นตัวพระราม พระลักษมณ์ จะต้องมีความชำนาญ ในการรำตรวจพลการรบ และขึ้นลอยต่าง

2551/09/14

การคำนับครู

เป็นประเพณีที่ถือเคล็ดกันมาแต่โบราณว่า การฝึกหัดศิลปะไทยทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น โขน ละคร ดนตรี ขับร้อง จะต้องมีการคำนับครูก่อนที่นักเรียนจะเริ่มเรียนเสมอ เพราะการศึกษาทางด้านศิลปะมีความแตกต่างจากการศึกษาทางด้านสายสามัญ ซึ่งผู้เรียนสามารถจะหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ถ้านักเรียนรู้วิธีการในกระบวนการของการศึกษา แต่ในด้านศิลปะ นักเรียนจะต้องได้รับความรู้จากครูผู้สอน เพราะครูผู้สอนเปรียบเสมือนองค์ความรู้ที่สำคัญ อันจะเป็นแม่แบบในการถ่ายทอดวิชาทางด้านศิลปะให้แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อวิชาชีพของตนเองในอนาคต ดังนั้นการแสดงความคารวะครู ทางด้านศิลปะจึงมีหลายวาระ และหลายระดับ ซึ่งถือเป็นจารีตที่จะต้องปฏิบัติในรายละเอียด ดังนี้
การคำนับครูในความหมายทางด้านนาฏศิลป์ หมายถึง การปวารณาตัวของนักเรียนที่เข้ามาเรียนใหม่ ในการที่จะยอมตนเป็นศิษย์ เพื่อรับการถ่ายทอดท่ารำจากครู
วิธีการคำนับครู หลังจากที่ได้มีการคัดเลือกนักเรียนใหม่ให้เรียนตามสาขาที่ครูอาจารย์คัดเลือกแล้ว นักเรียนใหม่ทุกคน และทุกสาขา ก่อนที่จะเริ่มทำการฝึกหัด ครูจะให้นักเรียนใหม่ นำดอกไม้ธูปเทียนมาทำพิธีคำนับครูในวันพฤหัสบดีแรก หลังจากคัดเลือกแล้ว โดยมีกระบวนการ ดังนี้ เริ่มจากการเชิญศีรษะครูฤๅษี เชื่อกันว่าคือ พระพรตมุนี ผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ และศีรษะครูพระพิราพ จากบทความสัมภาษณ์ นายประเมษฐ์ บุณยะชัย ได้อธิบายไว้ว่า เหตุที่นำเอาศีรษะพระพิราพออกมาตั้งคู่กับศีรษะพระพรตมุนี เพราะเหตุว่า พระพิราพที่เหล่าศิลปินเคารพนับถือ และเกรงกลัวกันมากนั้น เชื่อกันว่าเป็นปางหรือภาคหนึ่งของพระอิศวร เป็นปางที่ดุร้าย ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นผู้มีความยุติธรรมแก่ผู้ที่ประพฤติดี เป็นเทพเจ้าที่ชาวอินเดียตอนเหนือนับถือมาก ในปัจจุบันชาวอินเดียตอนเหนือ อันได้แก่ประเทศเนปาลขนานนามท่านว่า พระกาลาไพราพ รูปร่างลักษณะเช่นเดียวกับหน้าพระพิราพของไทยนั่นเอง ในบางตำรากล่าวว่า พระพิราพ ก็คือ พระวิรามณะ ซึ่งเป็นเทพแห่งการฟ้อนรำของฮินดู โดยสรุปแล้ว พระพิราพที่บรรดาศิลปินนับถือกันนั้นก็คือเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกรงขาม เป็นเทพผู้ให้ความยุติธรรมแห่งการฟ้อนรำ ดังนั้นเราจึงนำเอาศีรษะพระพิราพมาตั้งคู่กับศีรษะพระพรตมุนีด้วยเชื่อว่าเป็นเทพแห่งการฟ้อนรำทั้งคู่ตามคติฮินดู และเพื่อคอยขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีไม่งาม มิให้เข้ามาในเวที โขน ละคร อีกประการหนึ่ง ในเรื่องของการกำหนดวันที่จะใช้ในการคำนับครูหรือการทำพิธีไหว้ครู จะต้องเลือกวันพฤหัสบดี ทั้งนี้เป็นความเชื่อมาแต่โบราณที่เชื่อว่า พระพฤหัสบดี เป็นผู้ที่ถือกำเนิดมาจากพระฤๅษี ๑๙ ตน ฤๅษีทั้ง ๑๙ ตนเหล่านี้ มีหน้าที่เป็นผู้สอนศิลป์ศาสตร์ หรือกล่าวโดยง่าย ๆ ก็คือ เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ ดังนั้นเมื่อพระพฤหัสบดีมีกำเนิดมาจากครู จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันที่สมควรประกอบพิธี หรือ เป็นวันครู

จากนั้น ครูผู้ทำหน้าที่เป็นประธาน ในการกล่าวโองการคำนับครู ก็จะกล่าวบูชานำหมู่นักเรียนใหม่ ให้นักเรียนใหม่กล่าวคำบูชาครูตาม หลังจากกล่าวคำบูชาครูแล้ว จากนั้นจึงจัดนักเรียนใหม่แต่ละสาขา ทั้ง ละครตัวพระ ละครตัวนาง โขนพระ โขนยักษ์ โขนลิงให้ตั้งแถวหน้ากระดาน แถวละ ๘ – ๑๐ คน ต่อหน้าที่บูชา แล้วให้นั่งคุกเข่า ทำท่าไหว้ โดยเริ่มเพลงช้า โดยมีครูผู้ช่วยเป็นผู้รำนำหน้า แล้วให้ครูผู้ใหญ่แต่ละสาขามาจับท่านักเรียนใหม่นั้นทุกคน เป็นปฐมฤกษ์เพื่อสวัสดิมงคล
หลังจากที่นักเรียนใหม่ทำพิธีคำนับครูดังกล่าวแล้ว ก็จะมอบบรรดาศิษย์แจกจ่ายให้ครูผู้ช่วยรับไปฝึกหัดกันในแต่ละสาขา คือ พวกละครพระ ก็มอบให้ครูละครพระรับไปฝึกหัดละครนางก็ให้ครูละครนางรับไปฝึกหัด โขนพระก็ให้ครูโขนพระรับไปฝึกหัด โขนยักษ์ก็ให้ครูโขนยักษ์รับไปฝึกหัด และโขนลิงก็ให้ครูโขนลิงรับไปฝึกหัด เป็นอันเสร็จพิธีการคำนับครู แต่ที่วิทยาลัยนาฏศิลปะสุพรรณบุรีนั้นเรียกพิธีนี้ว่า พิธีจับมือนักเรียนใหม่ คือนักเรียนที่เข้ามาเรียนใหม่นั้น จะต้องได้รับการจับมือจากครูผู้ใหญ่ ตั้งพิธีเหมือนกับการคำนับครูและจัดวันทำพิธีในวันพฤหัสบดีแรก หรือพฤหัสบดีที่สองของการเปิดเรียน จะทำพิธีเหมือนกันกับการคำนับครู พอเสร็จพิธีก็ให้ครูในแต่ละสาขานำนักเรียนไปฝึกหัดต่อไป

2551/09/10

การฝึกหัดโขนสมัยโบราณ

การฝึกหัดโขนสมัยโบราณ
การเรียนการสอนนาฏศิลป์โขน ในสมัยโบราณเดิมเป็นการเรียนการสอนในวังของบรรดาพวกเจ้านาย ซึ่งมีคณะโขน ละครเป็นของตนเอง ดังเช่นที่นายอาคม สายาคม ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ได้กล่าวไว้ในหนังสือรวมงานนิพนธ์ว่า การฝึกหัดโขนในสมัยก่อนครูผู้สอนจะหัดให้ผู้รำ รำเพลงช้า เพลงเร็ว เชิด และเสมอ ถือว่าการรำเพลงเหล่านี้เป็นการฝึกหัดรำในระดับชั้นต้น และจะต้องใช้เวลาฝึกหัดเป็นเวลา ๑ – ๒ ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อให้เกิดความชำนาญและสามารถจดจำท่ารำได้เป็นอย่างดี การฝึกหัดนั้นจะฝึกหัดรำกันตลอดทั้งวัน ไม่มีการเรียนหนังสือ
จากคำกล่าวของนายอาคม สายาคมนี้ แสดงให้เห็นว่า การเรียนการสอนในสมัยรัชกาลที่ ๗ นั้น จะเรียนกันแต่เฉพาะในวังของเจ้านายเท่านั้น และจะต้องฝึกหัดกันตลอดทั้งวัน การเรียนมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความชำนาญ และสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ และเพลงที่จะต้องฝึกหัดรำนั้นประกอบด้วยเพลงหน้าพาทย์ จำนวน ๔ เพลง ซึ่งได้แก่เพลงช้า เพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ต่อมาเมื่อเริ่มตั้งโรงเรียนนาฏศิลปขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี ๒๔๗๗ นายอาคม สายาคม ได้มีโอกาสเข้ามารับราชการอยู่ในกรมศิลปากร และได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนโขนตัวพระให้แก่บรรดานักเรียนในโรงเรียนนาฏศิลป วิธีการถ่ายทอดของครูอาคม สายาคม ที่ถ่ายทอดให้แก่นักเรียนนั้นก็ได้อาศัยแนวทางที่ท่านเคยได้รับการถ่ายทอดเมื่อครั้งที่เคยเป็นเด็กอยู่นั่นคือ การฝึกให้รำเพลงช้าเพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอ วิธีการถ่ายทอดท่ารำของครูอาคมนี้ก็เพื่อต้องการที่จะฝึกให้ผู้เรียนมีความชำนาญในการรำเพลงช้า เพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอ ตลอดจนมุ่งเน้นลีลาท่ารำของผู้เรียนเป็นสำคัญ เพราะท่านเชื่อว่าเพลงหน้าพาทย์ที่กล่าวมานี้จะสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการรำให้แก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๘ โรงเรียนนาฏศิลป ได้มีการจัดทำหลักสูตรบรรจุเนื้อหาวิชาที่จะสอนให้แก่ผู้เรียน โดยกำหนดเนื้อหาวิชาในแต่ละชั้นปี เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในแต่ละระดับของผู้เรียน และเริ่มใช้หลักสูตรในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (รวมงานนิพนธ์ นายอาคม สายาคม ; ๒๕๒๕ : ๕๕)
บทความสัมภาษณ์ นายทองสุข ทองหลิม ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของนายอาคม สายาคม และได้เคยแสดงเป็นตัวพระรามที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งได้เล่าถึงการฝึกหัดโขนตัวพระของโรงเรียนนาฏศิลปตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งเป็นปีที่นายทองสุข ทองหลิม ได้เข้ามาศึกษาอยู่ในโรงเรียนนาฏศิลปเป็นปีแรก โดยกล่าวว่า การเรียนตัวพระในสมัยนั้นจะแยกเรียนระหว่างตัวพระโขนกับพระละคร ตัวพระโขนนี้ครูผู้สอนคือ หลวงวิลาศวงงาม เป็นผู้ควบคุมการแสดงโขนของกรมศิลปากร นายจำนง พรพิสุทธิ์ นายวงศ์ ล้อมแก้ว และนายอาคม สายาคม ซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครูสอนฝ่ายพระ การเรียนการสอนในสมัยนั้นเริ่มต้นให้ผู้เรียนฝึกหัดเบื้องต้น ด้วยการตบเข่า ถองสะเอว เต้นเสา ถีบเหลี่ยม ซึ่งท่าฝึกหัดเบื้องต้นนี้ เป็นพื้นฐานของการฝึกหัดโขนต่อจากนั้นจึงสลับให้รำเพลงช้า เพลงเร็ว จนเกิดความชำนาญ จึงได้รับให้เข้าร่วมในการแสดงโขน
การเรียนการสอนในสมัยนั้น นายทองสุข ทองหลิม ยังบอกอีกว่านอกจากการเรียนการฝึกหัดนาฏศิลป์โขนแล้ว ยังต้องเรียนหนังสือควบคู่ไปกับการฝึกหัดโขนด้วย ระยะเวลาในการฝึกหัดโขน ส่วนใหญ่จะฝึกหัดในตอนเช้า คือ หลังจากการเรียนสามัญในชั่วโมงแรกผ่านไปแล้ว ก็จะมาเรียนฝึกหัดโขนจนกระทั่งถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน หลังจากนั้นก็กลับไปเรียนภาคสามัญตามปกติในภาคบ่าย
บทความสัมภาษณ์ นายธงไชย โพธยารมย์ ศิลปินกองการสังคีต กรมศิลปากร เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งเคยแสดงเป็นตัวพระรามที่มีชื่อเสียงมาก ได้เล่าถึงการเรียนการสอนโขนตัวพระในสมัยที่ท่านเรียนไว้ ดังนี้
ท่านเริ่มฝึกหัดโขนตัวพระครั้งแรกกับนายอาคม สายาคม ท่านได้ฝึกหัดตัวพระโดยใช้ระยะเวลาไม่ถึงเดือนก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปฝึกหัดตัวนางกับขุนวาศพิศวง (แถม ศิลป์ชีวิน)โดยขุนวาศพิศวงเห็นว่านายธงไชย มีรูปทรงองเอวบางร่างน้อย หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เหมาะที่จะเป็นตัวนาง จึงได้ขอตัวให้ไปฝึกหัดเป็นตัวนาง และได้ฝึกหัดตัวนางอยู่จนถึงชั้นต้นปีที่ ๔ ก็ได้ย้ายไปฝึกหัดเป็นตัวยักษ์ เพราะมีรูปร่างสูงใหญ่ และครูที่ฝึกหัดยักษ์เป็นคนแรก คือ นายทองเริ่ม มงคลนัฏ ต่อมาเมื่อได้เรียนอยู่ในชั้นกลางปีที่ ๓ นายธงไชยก็ได้กลับไปฝึกหัดตัวพระอีกครั้งหนึ่งการเรียนการสอนก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับนายทองสุข ทองหลิม ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว คือครูผู้สอนจะฝึกหัดเบื้องต้นก่อนด้วยการทำท่าตบเข่า ถองสะเอว และเต้นเสา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สอนได้รู้พื้นฐานของการฝึกหัดโขน ต่อจากนั้นจึงจะเริ่มเพลงช้า เพลงเร็ว ให้แก่ผู้เรียน และให้ผู้เรียน รำเพลงช้า เพลงเร็วจนเกิดความชำนาญและจดจำท่ารำได้อย่างแม่นยำ และถือเป็นการเริ่มต้นของการฝึกหัดรำตัวพระ (บทความสัมภาษณ์ นายธงไชย โพธยารมณ์ . ๒๕๓๖ : ๓)
บทความสัมภาษณ์ นายอุดม อังศุธร เกี่ยวกับการเรียนการสอนโขนพระในสมัยที่ท่านยังเป็นนักเรียนไว้ดังนี้ เริ่มเรียนที่โรงเรียนนาฏศิลปครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ นายทองสุข ทองหลิม และนายธงไชย โพธยารมณ์ ได้ฝึกหัดเป็นตัวโขนยักษ์ แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาเหมาะสมที่จะเป็นตัวโขนพระ คุณครูนิตยา จามรมาน ซึ่งเป็นครูประจำชั้นและนายอาคม สายาคม ซึ่งเป็นครูสอนตัวพระในขณะนั้นจึงได้เลือกนายอุดมให้มาฝึกหัดเป็นตัวพระ โดยได้รับการสอนครั้งแรกจาก นายวงศ์ ล้อมแก้ว จะเริ่มให้ฝึกหัดท่าปฏิบัติเบื้องต้นก่อน คือ ท่าตบเข่า ถองสะเอว และเต้นเสา เพื่อเป็นการให้รู้จักจังหวะในการปฏิบัติท่าทาง อันจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นต่อไป สำหรับการฝึกหัดท่ารำนั้น เมื่อฝึกหัดท่ารำเบื้องต้นจนเกิดความชำนาญแล้ว ต่อไปครูผู้สอนจึงต่อท่ารำเพลงช้า เพลงเร็ว ให้แก่ผู้เรียน ในชั้นต้นจะรำประกอบจังหวะกับไม้เคาะก่อน เมื่อจดจำท่ารำได้แม่นยำแล้ว จึงหัดรำประกอบกับดนตรี โดยการใช้แถบบันทึกเสียง เมื่อรำเพลงช้า เพลงเร็วได้จนเกิดความแม่นยำในท่ารำแล้วจึงได้ต่อเพลงหน้าพาทย์เบื้องต้น ซึ่งได้แก่ เพลงเชิด เพลงเสมอ การเรียนในยุคนั้นผู้เรียนจะต้องเรียนหนังสือควบคู่ไปกับการเรียนปฏิบัติศิลป์เอก กล่าวคือ หลังจากเรียนสามัญในช่วงเช้าเสร็จสิ้น 1 ชั่วโมงแล้ว ก็จะต้องลงมาฝึกหัดโขน ๒ ชั่วโมง จนกระทั่งถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน ในครึ่งวันบ่ายก็จะกลับไปเรียนหนังสือสามัญตามปกติ (บทความสัมภาษณ์ นายอุดม อังศุธร . ๒๕๓๗ ; ๔)
จากการสัมภาษณ์ของ นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง ในฐานะที่ท่านเคยฝึกหัดเป็นตัวพระราม กล่าวว่า ระบบการฝึกหัดโขนโดยเฉพาะโขนตัวพระ จะเริ่มด้วยการฝึกหัดเบื้องต้น ซึ่งประกอบด้วยท่าตบเข่า ถองสะเอว และเต้นเสา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะในการที่จะนับจังหวะ การเคลื่อนไหวลำตัว และการใช้เท้าประกอบจังหวะอันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการฝึกหัดโขน เมื่อผู้เรียนเกิดทักษะตามที่ได้กล่าวมานี้แล้ว จึงจะได้รับการถ่ายทอดท่ารำเพลงช้า เพลงเร็วอันถือเป็นการฝึกหัดเบื้องต้นของพวกที่เรียนตัวพระ ในทำนองเดียวกันลีลาท่ารำที่ประกอบอยู่ในการแสดงก็ล้วนแล้วแต่จะหยิบมาจากท่ารำในเพลงช้า เพลงเร็วแทบทั้งสิ้น ดังนั้นการรำเพลงช้า เพลงเร็วจึงถือเป็นท่ารำที่สำคัญที่จะฝึกหัดโขนตัวพระ เพราะทุกคนที่เรียนโขนตัวพระจะต้องผ่านการรำเพลงนี้มาก่อนจึงจะทำให้สามารถรำเพลงต่าง ๆ ได้ดี (บทความสัมภาษณ์
นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง .๒๕๓๗ ; ๔)
บทสัมภาษณ์ของนายวีระชัย มีบ่อทรัพย์ การเรียนการสอนในสมัยโบราณ ใช้ไม้เคาะจังหวอย่างเดียว สอนแบบช้าๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดความเคยชิน ในการใช้มือและเท้า มีจังหวะเปิดและจังหวะปิด คือสามารถแก้ไขท่ารำในขณะที่นักเรียนรำผิดได้ทันที ในสมัยก่อนทางฝ่ายละครใช้จังหวะ “จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” แต่โขนยังใช้ไม้เคาะจังหวะอย่างเดียว ซึ่งต่อมา นายอุดม อังศุธร ได้ให้มาฝึกจังหวะ “ จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” และ”ตุ๊บ ทิง ทิง“ ต่อมาจึงใช้ทำนองเพลงสร้อยสนตัด นายวีระชัย ยังให้ความเห็นอีกต่อไปว่า เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเทปเพลงเปิดให้ฟัง ทำให้เด็กเกิดความแม่นยำมากขึ้น แต่ในความเห็นของนายวีระชัย น่าจะเน้น “จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” ।ให้แม่นก่อน ไม่ใช่ให้รำกับเทปเพลงเลย ทำให้เร็วเกินไป ในเด็กรุ่นหลัง ฟังทำนองและเพลงไม่เป็น และอยากให้ครูรุ่นใหม่วางการสอนแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ ร้อง จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง กลุ่มที่ ๒ ไล่ทำนองดนตรี
ในเรื่องการเรียนการสอนในสมัยโบราณ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕-๗ มัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ ชั้นกลางปีที่ ๑-๓ ชั้นสูงปีที่ ๑-๒ รวมเวลา ๑๑ ปี ส่วนในปัจจุบัน แบ่งเป็นชั่วโมงเนื้อหาชัดเจน
บทสัมภาษณ์ นายศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ ได้ให้ความเห็นไว้ว่าการฝึกหัดโขนในสมัยโบราณ สืบสานการรำมาจากสายตรง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ โดยกรมโขนหลวงรับการถ่ายทอดจากครูรุ่นเก่าเรียนรู้จากครูมาอย่างไรก็ถ่ายทอดออกมาอย่างนั้น การเรียนนาฏศิลป์โขน เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นหลังสู่รุ่นหน้า ผู้ใหญ่เรียนมาอย่างไรก็ต่อท่าอย่างนั้น รูปแบบการถ่ายทอดท่ารำ ครูในสมัยโบราณ จะดูนักเรียนที่จะทำการถ่ายทอดท่ารำให้ ที่หน่วยก้าน รูปร่าง ความจำ การเฝ้าปฏิบัติครู และดึงคนที่มีความสามารถมาต่อท่ารำ ในสมัยปัจจุบันใช้หลักสูตรเป็นตัวกำหนดบังคับตายตัวและกระบวนท่ารำเชื่อว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง การคัดเลือกผู้เรียนโขนพระในปัจจุบันค่อนข้างใกล้เคียงกับของโบราณ คือดูรูปร่าง รูปหน้า ดูสัดส่วนโครงสร้างร่างกาย สีของผิวกายที่จะต้องไม่ดำคล้ำจนเกินไป
๔. การคัดเลือกผู้ที่จะฝึกหัดโขนเป็นตัวพระ
การคัดเลือกผู้ที่จะเรียนเป็นตัวโขนในสมัยก่อน ครูโขนจะดูรูปร่างของผู้เรียนด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- ให้ผู้เรียนถอดถุงเท้าและรองเท้าออก แล้วให้ยืนกางแขนตั้งฝ่ามือขึ้น เพื่อตรวจดูความ
สมบูรณ์ สมส่วนของลำตัว แขน ขา มือ และเท้า ครูใช้มือสำรวจส่วนต่าง ๆ เช่น กระดูกหลัง ช่วงอก
นิ้วมือ นิ้วเท้า แล้วให้เด็กย่อเหลี่ยม เพื่อดูวงเหลี่ยมว่าพอจะดัดเข้ารูปได้หรือไม่
- ทดลองให้ผู้เรียนเดิน เพื่อดูกิริยาท่าทาง หรือลองให้หกคะเมนตีลังกา เพื่อความถนัดในปัจจุบันนี้ได้เพิ่มการสอบวิชาสามัญ คือความรู้ทั่วไป เช่น วิชาคณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทยวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และวิชาศิลปะทั่วไป เป็นต้น และได้เพิ่มการสอบสัมภาษณ์ คือการถามคำถามต่าง ๆ ให้ผู้เรียนตอบหรือแสดงความคิดเห็น ความสนใจในสาขาวิชาที่นักเรียนต้องการที่จะเรียนต่อไปด้วย ตลอดจนให้นักเรียนได้แสดงความสามารถ เพื่อเป็นการสำรวจพื้นฐานด้านนาฏศิลป์ เช่น ให้นักเรียนรำหรือเต้นให้ดู หลังจากที่ได้รับนักเรียนเข้าเรียนในวิทยาลัยนาฏศิลปแล้ว ก็ต้องทำการคัดเลือกนักเรียนเพื่อแยกไปเรียนในสาขา โขนพระ โขนยักษ์และโขนลิง ตามลักษณะบุคลิกภาพของนักเรียน โดยครูอาวุโสแต่ละสาขาเป็นผู้ทำการคัดเลือก
วิธีคัดเลือกนักเรียนในสาขาโขนพระ นายอาคม สายาคม ได้กล่าวไว้ในหนังสือรวมวิทยานิพนธ์ ของท่านว่า ในขั้นต้นของการเลือกผู้ที่จะเรียนโขนพระ จะต้องดูที่ใบหน้าก่อน โดยคัดเลือกนักเรียนที่มีใบหน้ารูปไข่ กล่าวคือ มีใบหน้ายาว คิ้วดกพอสมควร จมูกต้องโด่ง นัยน์ตาไม่พิการ ปากต้องเป็นรูปกระจับ ริมฝีปากบางพอประมาณ คางไม่ป้าน หมายถึงยาวรับกับใบหน้า ไม่มีตำหนิและทุกส่วนของใบหน้ารับกันได้สมส่วน ต่อมาก็ตรวจดูลำคอ คือต้องมีช่วงคอที่ยาว หัวไหล่จะต้องผึ่งผาย ไม่เป็นคนไหล่ห่อ และหลังไม่โกง อกไม่แอ่นจนเกินไป ลำตัวกลมพอสมควร ตรวจดูแขน จะต้องไม่แขนสั้นหรือยาวจนเกินไป และไม่พิการ เช่นแขนคอก หรือลีบและงอ ไม่ได้สัดส่วนที่รับกับลำตัว และขาทั้งสองข้าง ดูนิ้วมือทั้งห้า จะต้องไม่หงิกงอหรือพิการแต่ประการใด และมีนิ้วมือครบทั้งห้านิ้ว แต่ละนิ้วจะยาวสั้นพอประมาณ เมื่อตั้งมือนิ้วมือตกท้องนาคก็ยิ่งดี (มือตกท้องนาคหมายถึง นิ้วมือที่มีลักษณะอ่อนโค้งเมื่อมือตึงนิ้ว) ต่อมาตรวจดูที่ขาทั้ง ๒ ข้าง คือ ขาทั้ง ๒ ข้างจะต้องมีความยาวเท่ากัน คือไม่สั้นข้าง ยาวข้างจึงจะใช้ได้ รูปร่างจะต้องเป็นคนสูงโปร่ง คือไม่สูงจนเกินไป และไม่เตี้ยจนเกินไป โดยเฉพาะตัวพระจะต้องมีรูปร่างสูงกว่าตัวนางจึงจะใช้ได้ ผิวเนื้อขาวไม่จำกัด
บทความสัมภาษณ์ของ นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง ผู้สอนโขนพระในวิทยาลัยนาฏศิลป ได้กล่าวว่า มีโอกาสได้เข้าร่วมทำการคัดเลือกนักเรียนที่จะเรียนเป็นโขนพระนั้น ระยะต่อมาพบว่านักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เรียนเป็นโขนพระมักจะหาผู้ที่มีใบหน้าเหมือนรูปไข่นั้นหาได้ยาก ดังนั้นเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนที่จะมาเรียนสาขาโขนพระ จึงต้องมีการปรับประยุกต์ เพื่อที่จะได้มีโอกาสเลือกผู้ที่จะมาเรียนในสาขาโขนพระได้มากขึ้น โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกดังต่อไปนี้
ในขั้นต้นจะดูโครงสร้างของนักเรียนโดยภาพรวมก่อน ว่ามีรูปร่างลักษณะพอที่จะเป็นโขนตัวพระได้หรือไม่ กล่าวคือ จะต้องพิจารณาจากรูปร่างสูงโปร่งเป็นสำคัญ ส่วนรูปร่างของใบหน้านั้นจะพิจารณาโดยวิธีคำนึงถึงนักเรียนที่มีรูปหน้าเหมาะสมกับเครื่องประดับบนศีรษะ คือ ชฎา หรือไม่ ส่วนสีผิวของนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องไม่คล้ำจนเกินไป
และนายไพฑูรย์ ก็ได้แสดงความคิดเห็นอีกว่า จากประสบการณ์ของ นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง เมื่อแรกเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนนาฏศิลป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ วิธีการคัดเลือกแตกต่างไปจากวิธีการคัดเลือกในปัจจุบัน คือ วิธีการคัดเลือกในสมัยนั้น แต่ละสาขาจะใช้วิธีการสอบถามความสมัครใจของผู้เรียน ว่า อยากจะเรียนในสาขาใด ซึ่งได้แก่ สาขาโขนพระ โขนยักษ์ และโขนลิง มิได้ใช้เกณฑ์คัดเลือกดังในวิธีปัจจุบัน ซึ่งใช้วิธีการคัดเลือกจากรูปร่างและลักษณะของนักเรียน อย่างไรก็ตาม วิธีการคัดเลือกโดยการสอบถามความสมัครใจของผู้เรียนนั้น ครูก็ยังคงใช้เกณฑ์การคัดเลือก โดยดูจากใบหน้าและรูปร่างประกอบกับความสมัครใจของผู้เรียนด้วยเหมือนกัน นักเรียนบางคนที่สมัครใจเลือกเรียนสาขาโขนพระ แต่ถ้าหากรูปร่าง และหน้าตาไม่เอื้ออำนวยที่จะให้เรียนโขนพระได้ ครูก็จะแนะนำให้เลือกเรียนสาขาโขนยักษ์ หรือโขนลิงแทน เพื่อความเหมาะสมกับลักษณะของนักเรียน ในการคัดเลือกไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตามกล่าวคือ คัดเลือกด้วยความสมัครใจหรือคัดเลือกโดยครูเป็นผู้เลือกเองก็ย่อมมีทั้งข้อดี และข้อเสียเหมือนกัน ในลักษณะการคัดเลือกด้วยความสมัครใจ ข้อดีคือ นักเรียนจะเรียนด้วยใจรัก และสามารถเรียนได้ตลอดรอดฝั่งจนกระทั่งจบหลักสูตร ข้อเสียคือ รูปร่างของนักเรียนบางคนไม่เหมาะสมที่จะเรียนสาขาโขนพระ อันเนื่องมาจากเตี้ยเกินไปบ้าง สูงเกินไปบ้าง อ้วนเกินไปบ้าง หรือมีพฤติกรรมค่อนข้างไปทางความเป็นผู้หญิง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคของการเรียนโขนพระ แต่เนื่องจากมีใจรัก จึงทำให้สามารถเรียนได้ ถ้าเทียบในเชิงปริมาณและคุณภาพแล้ว กลุ่มผู้เรียนที่มีรูปร่างลักษณะไม่เหมาะสมเหล่านี้ ทางด้านการศึกษาซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในการที่ครูไม่สามารถที่จะสร้างคนได้ตามที่มุ่งหมายไว้ ก็จะได้แต่เชิงปริมาณ ขาดในเชิงคุณภาพ ส่วนการคัดเลือกโดยวิธีการคัดเลือกโดยครูมีข้อดีดังนี้ ครูสามารถเลือกนักเรียนได้ตามที่ใจปรารถนา ซึ่งสอดคล้องกับหลักจิตวิทยาที่ว่า “คนจะทำงานด้วยใจรักถ้าหากเขาเป็นผู้เลือกงานนั้นเอง” ข้อเสียคือ ผู้เรียนที่ได้รับการคัดเลือกอาจจะเกิดความไม่พอใจในการที่ตนเองได้รับการคัดเลือกให้เรียนในสาขาที่ตนเองไม่ชอบ อันจะเป็นปัญหาใหญ่ในโอกาสต่อไป นั่นคือนักเรียนจะเรียนไม่จบหลักสูตรนักเรียนหนีเรียน นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ปัญหาเหล่านี้จะนำไปสู่ความสูญเปล่าทางด้านการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในการที่ครูไม่สามารถที่จะสร้างค
นได้ตามที่มุ่งหวังไว้
ในความคิดเห็นของนายวีรชัย มีบ่อทรัพย์ กล่าวว่า การคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนหลักสูตรเดิมจะให้นักเรียน เรียนซ้ำๆ ทบทวนของเดิมก่อน ให้พื้นฐานแน่น และเพิ่มเทคนิคลีลาเข้าไปเรื่อยๆ จะทำให้เนื้อหาแน่นชัดเจนไม่คลาดเคลื่อน แต่ในปัจจุบันไม่แน่นอน ต้องคัดเลือกนักเรียนที่รูปร่างหน้าตาดีสูงโปร่ง สมส่วน ส่วนเด็กต่างจังหวัดของแต่ละพื้นที่ของจำนวนเด็ก รูปร่างหน้าตาพอใช้ได้
แต่จากความคิดเห็นของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นครูสอนโขนพระในวิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี พบว่าการที่จะรับนักเรียนเข้าเรียนโขนพระนั้น ในวิทยาลัยนาฏศิลปในส่วนภูมิภาค จะมีความแตกต่างกับส่วนกลาง ในส่วนกลางมีผู้มาสมัครเรียนมาก มีตัวนักเรียนให้เลือกมากมายหลายคน แต่ในส่วนภูมิภาคนั้นไม่มีสิทธิ์ได้รับการเลือกนักเรียนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมาะสมกับเป็นตัวโขนพระได้เท่าที่ควร เพราะจำนวนนักเรียนที่มาสมัครเรียนมีน้อย แทบจะไม่พอกับความต้องการของวิทยาลัยนาฏศิลปนั้นๆ แม้กระทั่งหน้าตา รูปร่าง สีผิว ของนักเรียน ซึ่งในบางปี ตัวโขนพระหาตัวนักเรียนแทบไม่ได้เลย จึงได้แต่ทำการคัดเลือกนักเรียนที่มาสมัครเรียน ไม่ให้มีรูปร่างพิการ หน้าตาพอใช้ได้ สีผิวไม่คล้ำดำจนเกินไป และมีศิลปะนิสัยที่ให้ความสนใจและเต็มใจที่อยากจะเรียนตัวโขนพระ .