เป็นประเพณีที่ถือเคล็ดกันมาแต่โบราณว่า การฝึกหัดศิลปะไทยทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น โขน ละคร ดนตรี ขับร้อง จะต้องมีการคำนับครูก่อนที่นักเรียนจะเริ่มเรียนเสมอ เพราะการศึกษาทางด้านศิลปะมีความแตกต่างจากการศึกษาทางด้านสายสามัญ ซึ่งผู้เรียนสามารถจะหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ถ้านักเรียนรู้วิธีการในกระบวนการของการศึกษา แต่ในด้านศิลปะ นักเรียนจะต้องได้รับความรู้จากครูผู้สอน เพราะครูผู้สอนเปรียบเสมือนองค์ความรู้ที่สำคัญ อันจะเป็นแม่แบบในการถ่ายทอดวิชาทางด้านศิลปะให้แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อวิชาชีพของตนเองในอนาคต ดังนั้นการแสดงความคารวะครู ทางด้านศิลปะจึงมีหลายวาระ และหลายระดับ ซึ่งถือเป็นจารีตที่จะต้องปฏิบัติในรายละเอียด ดังนี้
การคำนับครูในความหมายทางด้านนาฏศิลป์ หมายถึง การปวารณาตัวของนักเรียนที่เข้ามาเรียนใหม่ ในการที่จะยอมตนเป็นศิษย์ เพื่อรับการถ่ายทอดท่ารำจากครู
วิธีการคำนับครู หลังจากที่ได้มีการคัดเลือกนักเรียนใหม่ให้เรียนตามสาขาที่ครูอาจารย์คัดเลือกแล้ว นักเรียนใหม่ทุกคน และทุกสาขา ก่อนที่จะเริ่มทำการฝึกหัด ครูจะให้นักเรียนใหม่ นำดอกไม้ธูปเทียนมาทำพิธีคำนับครูในวันพฤหัสบดีแรก หลังจากคัดเลือกแล้ว โดยมีกระบวนการ ดังนี้ เริ่มจากการเชิญศีรษะครูฤๅษี เชื่อกันว่าคือ พระพรตมุนี ผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ และศีรษะครูพระพิราพ จากบทความสัมภาษณ์ นายประเมษฐ์ บุณยะชัย ได้อธิบายไว้ว่า เหตุที่นำเอาศีรษะพระพิราพออกมาตั้งคู่กับศีรษะพระพรตมุนี เพราะเหตุว่า พระพิราพที่เหล่าศิลปินเคารพนับถือ และเกรงกลัวกันมากนั้น เชื่อกันว่าเป็นปางหรือภาคหนึ่งของพระอิศวร เป็นปางที่ดุร้าย ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นผู้มีความยุติธรรมแก่ผู้ที่ประพฤติดี เป็นเทพเจ้าที่ชาวอินเดียตอนเหนือนับถือมาก ในปัจจุบันชาวอินเดียตอนเหนือ อันได้แก่ประเทศเนปาลขนานนามท่านว่า พระกาลาไพราพ รูปร่างลักษณะเช่นเดียวกับหน้าพระพิราพของไทยนั่นเอง ในบางตำรากล่าวว่า พระพิราพ ก็คือ พระวิรามณะ ซึ่งเป็นเทพแห่งการฟ้อนรำของฮินดู โดยสรุปแล้ว พระพิราพที่บรรดาศิลปินนับถือกันนั้นก็คือเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกรงขาม เป็นเทพผู้ให้ความยุติธรรมแห่งการฟ้อนรำ ดังนั้นเราจึงนำเอาศีรษะพระพิราพมาตั้งคู่กับศีรษะพระพรตมุนีด้วยเชื่อว่าเป็นเทพแห่งการฟ้อนรำทั้งคู่ตามคติฮินดู และเพื่อคอยขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีไม่งาม มิให้เข้ามาในเวที โขน ละคร อีกประการหนึ่ง ในเรื่องของการกำหนดวันที่จะใช้ในการคำนับครูหรือการทำพิธีไหว้ครู จะต้องเลือกวันพฤหัสบดี ทั้งนี้เป็นความเชื่อมาแต่โบราณที่เชื่อว่า พระพฤหัสบดี เป็นผู้ที่ถือกำเนิดมาจากพระฤๅษี ๑๙ ตน ฤๅษีทั้ง ๑๙ ตนเหล่านี้ มีหน้าที่เป็นผู้สอนศิลป์ศาสตร์ หรือกล่าวโดยง่าย ๆ ก็คือ เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ ดังนั้นเมื่อพระพฤหัสบดีมีกำเนิดมาจากครู จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันที่สมควรประกอบพิธี หรือ เป็นวันครู
จากนั้น ครูผู้ทำหน้าที่เป็นประธาน ในการกล่าวโองการคำนับครู ก็จะกล่าวบูชานำหมู่นักเรียนใหม่ ให้นักเรียนใหม่กล่าวคำบูชาครูตาม หลังจากกล่าวคำบูชาครูแล้ว จากนั้นจึงจัดนักเรียนใหม่แต่ละสาขา ทั้ง ละครตัวพระ ละครตัวนาง โขนพระ โขนยักษ์ โขนลิงให้ตั้งแถวหน้ากระดาน แถวละ ๘ – ๑๐ คน ต่อหน้าที่บูชา แล้วให้นั่งคุกเข่า ทำท่าไหว้ โดยเริ่มเพลงช้า โดยมีครูผู้ช่วยเป็นผู้รำนำหน้า แล้วให้ครูผู้ใหญ่แต่ละสาขามาจับท่านักเรียนใหม่นั้นทุกคน เป็นปฐมฤกษ์เพื่อสวัสดิมงคล
หลังจากที่นักเรียนใหม่ทำพิธีคำนับครูดังกล่าวแล้ว ก็จะมอบบรรดาศิษย์แจกจ่ายให้ครูผู้ช่วยรับไปฝึกหัดกันในแต่ละสาขา คือ พวกละครพระ ก็มอบให้ครูละครพระรับไปฝึกหัดละครนางก็ให้ครูละครนางรับไปฝึกหัด โขนพระก็ให้ครูโขนพระรับไปฝึกหัด โขนยักษ์ก็ให้ครูโขนยักษ์รับไปฝึกหัด และโขนลิงก็ให้ครูโขนลิงรับไปฝึกหัด เป็นอันเสร็จพิธีการคำนับครู แต่ที่วิทยาลัยนาฏศิลปะสุพรรณบุรีนั้นเรียกพิธีนี้ว่า พิธีจับมือนักเรียนใหม่ คือนักเรียนที่เข้ามาเรียนใหม่นั้น จะต้องได้รับการจับมือจากครูผู้ใหญ่ ตั้งพิธีเหมือนกับการคำนับครูและจัดวันทำพิธีในวันพฤหัสบดีแรก หรือพฤหัสบดีที่สองของการเปิดเรียน จะทำพิธีเหมือนกันกับการคำนับครู พอเสร็จพิธีก็ให้ครูในแต่ละสาขานำนักเรียนไปฝึกหัดต่อไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น