เป็นประเพณีที่ถือเคล็ดกันมาแต่โบราณว่า การฝึกหัดศิลปะไทยทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น โขน ละคร ดนตรี ขับร้อง จะต้องมีการคำนับครูก่อนที่นักเรียนจะเริ่มเรียนเสมอ เพราะการศึกษาทางด้านศิลปะมีความแตกต่างจากการศึกษาทางด้านสายสามัญ ซึ่งผู้เรียนสามารถจะหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ถ้านักเรียนรู้วิธีการในกระบวนการของการศึกษา แต่ในด้านศิลปะ นักเรียนจะต้องได้รับความรู้จากครูผู้สอน เพราะครูผู้สอนเปรียบเสมือนองค์ความรู้ที่สำคัญ อันจะเป็นแม่แบบในการถ่ายทอดวิชาทางด้านศิลปะให้แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อวิชาชีพของตนเองในอนาคต ดังนั้นการแสดงความคารวะครู ทางด้านศิลปะจึงมีหลายวาระ และหลายระดับ ซึ่งถือเป็นจารีตที่จะต้องปฏิบัติในรายละเอียด ดังนี้
การคำนับครูในความหมายทางด้านนาฏศิลป์ หมายถึง การปวารณาตัวของนักเรียนที่เข้ามาเรียนใหม่ ในการที่จะยอมตนเป็นศิษย์ เพื่อรับการถ่ายทอดท่ารำจากครู
วิธีการคำนับครู หลังจากที่ได้มีการคัดเลือกนักเรียนใหม่ให้เรียนตามสาขาที่ครูอาจารย์คัดเลือกแล้ว นักเรียนใหม่ทุกคน และทุกสาขา ก่อนที่จะเริ่มทำการฝึกหัด ครูจะให้นักเรียนใหม่ นำดอกไม้ธูปเทียนมาทำพิธีคำนับครูในวันพฤหัสบดีแรก หลังจากคัดเลือกแล้ว โดยมีกระบวนการ ดังนี้ เริ่มจากการเชิญศีรษะครูฤๅษี เชื่อกันว่าคือ พระพรตมุนี ผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ และศีรษะครูพระพิราพ จากบทความสัมภาษณ์ นายประเมษฐ์ บุณยะชัย ได้อธิบายไว้ว่า เหตุที่นำเอาศีรษะพระพิราพออกมาตั้งคู่กับศีรษะพระพรตมุนี เพราะเหตุว่า พระพิราพที่เหล่าศิลปินเคารพนับถือ และเกรงกลัวกันมากนั้น เชื่อกันว่าเป็นปางหรือภาคหนึ่งของพระอิศวร เป็นปางที่ดุร้าย ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นผู้มีความยุติธรรมแก่ผู้ที่ประพฤติดี เป็นเทพเจ้าที่ชาวอินเดียตอนเหนือนับถือมาก ในปัจจุบันชาวอินเดียตอนเหนือ อันได้แก่ประเทศเนปาลขนานนามท่านว่า พระกาลาไพราพ รูปร่างลักษณะเช่นเดียวกับหน้าพระพิราพของไทยนั่นเอง ในบางตำรากล่าวว่า พระพิราพ ก็คือ พระวิรามณะ ซึ่งเป็นเทพแห่งการฟ้อนรำของฮินดู โดยสรุปแล้ว พระพิราพที่บรรดาศิลปินนับถือกันนั้นก็คือเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกรงขาม เป็นเทพผู้ให้ความยุติธรรมแห่งการฟ้อนรำ ดังนั้นเราจึงนำเอาศีรษะพระพิราพมาตั้งคู่กับศีรษะพระพรตมุนีด้วยเชื่อว่าเป็นเทพแห่งการฟ้อนรำทั้งคู่ตามคติฮินดู และเพื่อคอยขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีไม่งาม มิให้เข้ามาในเวที โขน ละคร อีกประการหนึ่ง ในเรื่องของการกำหนดวันที่จะใช้ในการคำนับครูหรือการทำพิธีไหว้ครู จะต้องเลือกวันพฤหัสบดี ทั้งนี้เป็นความเชื่อมาแต่โบราณที่เชื่อว่า พระพฤหัสบดี เป็นผู้ที่ถือกำเนิดมาจากพระฤๅษี ๑๙ ตน ฤๅษีทั้ง ๑๙ ตนเหล่านี้ มีหน้าที่เป็นผู้สอนศิลป์ศาสตร์ หรือกล่าวโดยง่าย ๆ ก็คือ เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ ดังนั้นเมื่อพระพฤหัสบดีมีกำเนิดมาจากครู จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันที่สมควรประกอบพิธี หรือ เป็นวันครู
จากนั้น ครูผู้ทำหน้าที่เป็นประธาน ในการกล่าวโองการคำนับครู ก็จะกล่าวบูชานำหมู่นักเรียนใหม่ ให้นักเรียนใหม่กล่าวคำบูชาครูตาม หลังจากกล่าวคำบูชาครูแล้ว จากนั้นจึงจัดนักเรียนใหม่แต่ละสาขา ทั้ง ละครตัวพระ ละครตัวนาง โขนพระ โขนยักษ์ โขนลิงให้ตั้งแถวหน้ากระดาน แถวละ ๘ – ๑๐ คน ต่อหน้าที่บูชา แล้วให้นั่งคุกเข่า ทำท่าไหว้ โดยเริ่มเพลงช้า โดยมีครูผู้ช่วยเป็นผู้รำนำหน้า แล้วให้ครูผู้ใหญ่แต่ละสาขามาจับท่านักเรียนใหม่นั้นทุกคน เป็นปฐมฤกษ์เพื่อสวัสดิมงคล
หลังจากที่นักเรียนใหม่ทำพิธีคำนับครูดังกล่าวแล้ว ก็จะมอบบรรดาศิษย์แจกจ่ายให้ครูผู้ช่วยรับไปฝึกหัดกันในแต่ละสาขา คือ พวกละครพระ ก็มอบให้ครูละครพระรับไปฝึกหัดละครนางก็ให้ครูละครนางรับไปฝึกหัด โขนพระก็ให้ครูโขนพระรับไปฝึกหัด โขนยักษ์ก็ให้ครูโขนยักษ์รับไปฝึกหัด และโขนลิงก็ให้ครูโขนลิงรับไปฝึกหัด เป็นอันเสร็จพิธีการคำนับครู แต่ที่วิทยาลัยนาฏศิลปะสุพรรณบุรีนั้นเรียกพิธีนี้ว่า พิธีจับมือนักเรียนใหม่ คือนักเรียนที่เข้ามาเรียนใหม่นั้น จะต้องได้รับการจับมือจากครูผู้ใหญ่ ตั้งพิธีเหมือนกับการคำนับครูและจัดวันทำพิธีในวันพฤหัสบดีแรก หรือพฤหัสบดีที่สองของการเปิดเรียน จะทำพิธีเหมือนกันกับการคำนับครู พอเสร็จพิธีก็ให้ครูในแต่ละสาขานำนักเรียนไปฝึกหัดต่อไป
2551/09/14
2551/09/10
การฝึกหัดโขนสมัยโบราณ
การฝึกหัดโขนสมัยโบราณ
การเรียนการสอนนาฏศิลป์โขน ในสมัยโบราณเดิมเป็นการเรียนการสอนในวังของบรรดาพวกเจ้านาย ซึ่งมีคณะโขน ละครเป็นของตนเอง ดังเช่นที่นายอาคม สายาคม ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ได้กล่าวไว้ในหนังสือรวมงานนิพนธ์ว่า การฝึกหัดโขนในสมัยก่อนครูผู้สอนจะหัดให้ผู้รำ รำเพลงช้า เพลงเร็ว เชิด และเสมอ ถือว่าการรำเพลงเหล่านี้เป็นการฝึกหัดรำในระดับชั้นต้น และจะต้องใช้เวลาฝึกหัดเป็นเวลา ๑ – ๒ ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อให้เกิดความชำนาญและสามารถจดจำท่ารำได้เป็นอย่างดี การฝึกหัดนั้นจะฝึกหัดรำกันตลอดทั้งวัน ไม่มีการเรียนหนังสือ
จากคำกล่าวของนายอาคม สายาคมนี้ แสดงให้เห็นว่า การเรียนการสอนในสมัยรัชกาลที่ ๗ นั้น จะเรียนกันแต่เฉพาะในวังของเจ้านายเท่านั้น และจะต้องฝึกหัดกันตลอดทั้งวัน การเรียนมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความชำนาญ และสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ และเพลงที่จะต้องฝึกหัดรำนั้นประกอบด้วยเพลงหน้าพาทย์ จำนวน ๔ เพลง ซึ่งได้แก่เพลงช้า เพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ต่อมาเมื่อเริ่มตั้งโรงเรียนนาฏศิลปขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี ๒๔๗๗ นายอาคม สายาคม ได้มีโอกาสเข้ามารับราชการอยู่ในกรมศิลปากร และได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนโขนตัวพระให้แก่บรรดานักเรียนในโรงเรียนนาฏศิลป วิธีการถ่ายทอดของครูอาคม สายาคม ที่ถ่ายทอดให้แก่นักเรียนนั้นก็ได้อาศัยแนวทางที่ท่านเคยได้รับการถ่ายทอดเมื่อครั้งที่เคยเป็นเด็กอยู่นั่นคือ การฝึกให้รำเพลงช้าเพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอ วิธีการถ่ายทอดท่ารำของครูอาคมนี้ก็เพื่อต้องการที่จะฝึกให้ผู้เรียนมีความชำนาญในการรำเพลงช้า เพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอ ตลอดจนมุ่งเน้นลีลาท่ารำของผู้เรียนเป็นสำคัญ เพราะท่านเชื่อว่าเพลงหน้าพาทย์ที่กล่าวมานี้จะสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการรำให้แก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๘ โรงเรียนนาฏศิลป ได้มีการจัดทำหลักสูตรบรรจุเนื้อหาวิชาที่จะสอนให้แก่ผู้เรียน โดยกำหนดเนื้อหาวิชาในแต่ละชั้นปี เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในแต่ละระดับของผู้เรียน และเริ่มใช้หลักสูตรในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (รวมงานนิพนธ์ นายอาคม สายาคม ; ๒๕๒๕ : ๕๕)
บทความสัมภาษณ์ นายทองสุข ทองหลิม ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของนายอาคม สายาคม และได้เคยแสดงเป็นตัวพระรามที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งได้เล่าถึงการฝึกหัดโขนตัวพระของโรงเรียนนาฏศิลปตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งเป็นปีที่นายทองสุข ทองหลิม ได้เข้ามาศึกษาอยู่ในโรงเรียนนาฏศิลปเป็นปีแรก โดยกล่าวว่า การเรียนตัวพระในสมัยนั้นจะแยกเรียนระหว่างตัวพระโขนกับพระละคร ตัวพระโขนนี้ครูผู้สอนคือ หลวงวิลาศวงงาม เป็นผู้ควบคุมการแสดงโขนของกรมศิลปากร นายจำนง พรพิสุทธิ์ นายวงศ์ ล้อมแก้ว และนายอาคม สายาคม ซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครูสอนฝ่ายพระ การเรียนการสอนในสมัยนั้นเริ่มต้นให้ผู้เรียนฝึกหัดเบื้องต้น ด้วยการตบเข่า ถองสะเอว เต้นเสา ถีบเหลี่ยม ซึ่งท่าฝึกหัดเบื้องต้นนี้ เป็นพื้นฐานของการฝึกหัดโขนต่อจากนั้นจึงสลับให้รำเพลงช้า เพลงเร็ว จนเกิดความชำนาญ จึงได้รับให้เข้าร่วมในการแสดงโขน
การเรียนการสอนในสมัยนั้น นายทองสุข ทองหลิม ยังบอกอีกว่านอกจากการเรียนการฝึกหัดนาฏศิลป์โขนแล้ว ยังต้องเรียนหนังสือควบคู่ไปกับการฝึกหัดโขนด้วย ระยะเวลาในการฝึกหัดโขน ส่วนใหญ่จะฝึกหัดในตอนเช้า คือ หลังจากการเรียนสามัญในชั่วโมงแรกผ่านไปแล้ว ก็จะมาเรียนฝึกหัดโขนจนกระทั่งถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน หลังจากนั้นก็กลับไปเรียนภาคสามัญตามปกติในภาคบ่าย
บทความสัมภาษณ์ นายธงไชย โพธยารมย์ ศิลปินกองการสังคีต กรมศิลปากร เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งเคยแสดงเป็นตัวพระรามที่มีชื่อเสียงมาก ได้เล่าถึงการเรียนการสอนโขนตัวพระในสมัยที่ท่านเรียนไว้ ดังนี้
ท่านเริ่มฝึกหัดโขนตัวพระครั้งแรกกับนายอาคม สายาคม ท่านได้ฝึกหัดตัวพระโดยใช้ระยะเวลาไม่ถึงเดือนก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปฝึกหัดตัวนางกับขุนวาศพิศวง (แถม ศิลป์ชีวิน)โดยขุนวาศพิศวงเห็นว่านายธงไชย มีรูปทรงองเอวบางร่างน้อย หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เหมาะที่จะเป็นตัวนาง จึงได้ขอตัวให้ไปฝึกหัดเป็นตัวนาง และได้ฝึกหัดตัวนางอยู่จนถึงชั้นต้นปีที่ ๔ ก็ได้ย้ายไปฝึกหัดเป็นตัวยักษ์ เพราะมีรูปร่างสูงใหญ่ และครูที่ฝึกหัดยักษ์เป็นคนแรก คือ นายทองเริ่ม มงคลนัฏ ต่อมาเมื่อได้เรียนอยู่ในชั้นกลางปีที่ ๓ นายธงไชยก็ได้กลับไปฝึกหัดตัวพระอีกครั้งหนึ่งการเรียนการสอนก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับนายทองสุข ทองหลิม ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว คือครูผู้สอนจะฝึกหัดเบื้องต้นก่อนด้วยการทำท่าตบเข่า ถองสะเอว และเต้นเสา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สอนได้รู้พื้นฐานของการฝึกหัดโขน ต่อจากนั้นจึงจะเริ่มเพลงช้า เพลงเร็ว ให้แก่ผู้เรียน และให้ผู้เรียน รำเพลงช้า เพลงเร็วจนเกิดความชำนาญและจดจำท่ารำได้อย่างแม่นยำ และถือเป็นการเริ่มต้นของการฝึกหัดรำตัวพระ (บทความสัมภาษณ์ นายธงไชย โพธยารมณ์ . ๒๕๓๖ : ๓)
บทความสัมภาษณ์ นายอุดม อังศุธร เกี่ยวกับการเรียนการสอนโขนพระในสมัยที่ท่านยังเป็นนักเรียนไว้ดังนี้ เริ่มเรียนที่โรงเรียนนาฏศิลปครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ นายทองสุข ทองหลิม และนายธงไชย โพธยารมณ์ ได้ฝึกหัดเป็นตัวโขนยักษ์ แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาเหมาะสมที่จะเป็นตัวโขนพระ คุณครูนิตยา จามรมาน ซึ่งเป็นครูประจำชั้นและนายอาคม สายาคม ซึ่งเป็นครูสอนตัวพระในขณะนั้นจึงได้เลือกนายอุดมให้มาฝึกหัดเป็นตัวพระ โดยได้รับการสอนครั้งแรกจาก นายวงศ์ ล้อมแก้ว จะเริ่มให้ฝึกหัดท่าปฏิบัติเบื้องต้นก่อน คือ ท่าตบเข่า ถองสะเอว และเต้นเสา เพื่อเป็นการให้รู้จักจังหวะในการปฏิบัติท่าทาง อันจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นต่อไป สำหรับการฝึกหัดท่ารำนั้น เมื่อฝึกหัดท่ารำเบื้องต้นจนเกิดความชำนาญแล้ว ต่อไปครูผู้สอนจึงต่อท่ารำเพลงช้า เพลงเร็ว ให้แก่ผู้เรียน ในชั้นต้นจะรำประกอบจังหวะกับไม้เคาะก่อน เมื่อจดจำท่ารำได้แม่นยำแล้ว จึงหัดรำประกอบกับดนตรี โดยการใช้แถบบันทึกเสียง เมื่อรำเพลงช้า เพลงเร็วได้จนเกิดความแม่นยำในท่ารำแล้วจึงได้ต่อเพลงหน้าพาทย์เบื้องต้น ซึ่งได้แก่ เพลงเชิด เพลงเสมอ การเรียนในยุคนั้นผู้เรียนจะต้องเรียนหนังสือควบคู่ไปกับการเรียนปฏิบัติศิลป์เอก กล่าวคือ หลังจากเรียนสามัญในช่วงเช้าเสร็จสิ้น 1 ชั่วโมงแล้ว ก็จะต้องลงมาฝึกหัดโขน ๒ ชั่วโมง จนกระทั่งถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน ในครึ่งวันบ่ายก็จะกลับไปเรียนหนังสือสามัญตามปกติ (บทความสัมภาษณ์ นายอุดม อังศุธร . ๒๕๓๗ ; ๔)
จากการสัมภาษณ์ของ นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง ในฐานะที่ท่านเคยฝึกหัดเป็นตัวพระราม กล่าวว่า ระบบการฝึกหัดโขนโดยเฉพาะโขนตัวพระ จะเริ่มด้วยการฝึกหัดเบื้องต้น ซึ่งประกอบด้วยท่าตบเข่า ถองสะเอว และเต้นเสา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะในการที่จะนับจังหวะ การเคลื่อนไหวลำตัว และการใช้เท้าประกอบจังหวะอันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการฝึกหัดโขน เมื่อผู้เรียนเกิดทักษะตามที่ได้กล่าวมานี้แล้ว จึงจะได้รับการถ่ายทอดท่ารำเพลงช้า เพลงเร็วอันถือเป็นการฝึกหัดเบื้องต้นของพวกที่เรียนตัวพระ ในทำนองเดียวกันลีลาท่ารำที่ประกอบอยู่ในการแสดงก็ล้วนแล้วแต่จะหยิบมาจากท่ารำในเพลงช้า เพลงเร็วแทบทั้งสิ้น ดังนั้นการรำเพลงช้า เพลงเร็วจึงถือเป็นท่ารำที่สำคัญที่จะฝึกหัดโขนตัวพระ เพราะทุกคนที่เรียนโขนตัวพระจะต้องผ่านการรำเพลงนี้มาก่อนจึงจะทำให้สามารถรำเพลงต่าง ๆ ได้ดี (บทความสัมภาษณ์
นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง .๒๕๓๗ ; ๔)
บทสัมภาษณ์ของนายวีระชัย มีบ่อทรัพย์ การเรียนการสอนในสมัยโบราณ ใช้ไม้เคาะจังหวอย่างเดียว สอนแบบช้าๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดความเคยชิน ในการใช้มือและเท้า มีจังหวะเปิดและจังหวะปิด คือสามารถแก้ไขท่ารำในขณะที่นักเรียนรำผิดได้ทันที ในสมัยก่อนทางฝ่ายละครใช้จังหวะ “จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” แต่โขนยังใช้ไม้เคาะจังหวะอย่างเดียว ซึ่งต่อมา นายอุดม อังศุธร ได้ให้มาฝึกจังหวะ “ จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” และ”ตุ๊บ ทิง ทิง“ ต่อมาจึงใช้ทำนองเพลงสร้อยสนตัด นายวีระชัย ยังให้ความเห็นอีกต่อไปว่า เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเทปเพลงเปิดให้ฟัง ทำให้เด็กเกิดความแม่นยำมากขึ้น แต่ในความเห็นของนายวีระชัย น่าจะเน้น “จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” ।ให้แม่นก่อน ไม่ใช่ให้รำกับเทปเพลงเลย ทำให้เร็วเกินไป ในเด็กรุ่นหลัง ฟังทำนองและเพลงไม่เป็น และอยากให้ครูรุ่นใหม่วางการสอนแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ ร้อง จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง กลุ่มที่ ๒ ไล่ทำนองดนตรี
ในเรื่องการเรียนการสอนในสมัยโบราณ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕-๗ มัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ ชั้นกลางปีที่ ๑-๓ ชั้นสูงปีที่ ๑-๒ รวมเวลา ๑๑ ปี ส่วนในปัจจุบัน แบ่งเป็นชั่วโมงเนื้อหาชัดเจน
บทสัมภาษณ์ นายศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ ได้ให้ความเห็นไว้ว่าการฝึกหัดโขนในสมัยโบราณ สืบสานการรำมาจากสายตรง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ โดยกรมโขนหลวงรับการถ่ายทอดจากครูรุ่นเก่าเรียนรู้จากครูมาอย่างไรก็ถ่ายทอดออกมาอย่างนั้น การเรียนนาฏศิลป์โขน เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นหลังสู่รุ่นหน้า ผู้ใหญ่เรียนมาอย่างไรก็ต่อท่าอย่างนั้น รูปแบบการถ่ายทอดท่ารำ ครูในสมัยโบราณ จะดูนักเรียนที่จะทำการถ่ายทอดท่ารำให้ ที่หน่วยก้าน รูปร่าง ความจำ การเฝ้าปฏิบัติครู และดึงคนที่มีความสามารถมาต่อท่ารำ ในสมัยปัจจุบันใช้หลักสูตรเป็นตัวกำหนดบังคับตายตัวและกระบวนท่ารำเชื่อว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง การคัดเลือกผู้เรียนโขนพระในปัจจุบันค่อนข้างใกล้เคียงกับของโบราณ คือดูรูปร่าง รูปหน้า ดูสัดส่วนโครงสร้างร่างกาย สีของผิวกายที่จะต้องไม่ดำคล้ำจนเกินไป
๔. การคัดเลือกผู้ที่จะฝึกหัดโขนเป็นตัวพระ
การคัดเลือกผู้ที่จะเรียนเป็นตัวโขนในสมัยก่อน ครูโขนจะดูรูปร่างของผู้เรียนด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- ให้ผู้เรียนถอดถุงเท้าและรองเท้าออก แล้วให้ยืนกางแขนตั้งฝ่ามือขึ้น เพื่อตรวจดูความ
สมบูรณ์ สมส่วนของลำตัว แขน ขา มือ และเท้า ครูใช้มือสำรวจส่วนต่าง ๆ เช่น กระดูกหลัง ช่วงอก
นิ้วมือ นิ้วเท้า แล้วให้เด็กย่อเหลี่ยม เพื่อดูวงเหลี่ยมว่าพอจะดัดเข้ารูปได้หรือไม่
- ทดลองให้ผู้เรียนเดิน เพื่อดูกิริยาท่าทาง หรือลองให้หกคะเมนตีลังกา เพื่อความถนัดในปัจจุบันนี้ได้เพิ่มการสอบวิชาสามัญ คือความรู้ทั่วไป เช่น วิชาคณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทยวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และวิชาศิลปะทั่วไป เป็นต้น และได้เพิ่มการสอบสัมภาษณ์ คือการถามคำถามต่าง ๆ ให้ผู้เรียนตอบหรือแสดงความคิดเห็น ความสนใจในสาขาวิชาที่นักเรียนต้องการที่จะเรียนต่อไปด้วย ตลอดจนให้นักเรียนได้แสดงความสามารถ เพื่อเป็นการสำรวจพื้นฐานด้านนาฏศิลป์ เช่น ให้นักเรียนรำหรือเต้นให้ดู หลังจากที่ได้รับนักเรียนเข้าเรียนในวิทยาลัยนาฏศิลปแล้ว ก็ต้องทำการคัดเลือกนักเรียนเพื่อแยกไปเรียนในสาขา โขนพระ โขนยักษ์และโขนลิง ตามลักษณะบุคลิกภาพของนักเรียน โดยครูอาวุโสแต่ละสาขาเป็นผู้ทำการคัดเลือก
วิธีคัดเลือกนักเรียนในสาขาโขนพระ นายอาคม สายาคม ได้กล่าวไว้ในหนังสือรวมวิทยานิพนธ์ ของท่านว่า ในขั้นต้นของการเลือกผู้ที่จะเรียนโขนพระ จะต้องดูที่ใบหน้าก่อน โดยคัดเลือกนักเรียนที่มีใบหน้ารูปไข่ กล่าวคือ มีใบหน้ายาว คิ้วดกพอสมควร จมูกต้องโด่ง นัยน์ตาไม่พิการ ปากต้องเป็นรูปกระจับ ริมฝีปากบางพอประมาณ คางไม่ป้าน หมายถึงยาวรับกับใบหน้า ไม่มีตำหนิและทุกส่วนของใบหน้ารับกันได้สมส่วน ต่อมาก็ตรวจดูลำคอ คือต้องมีช่วงคอที่ยาว หัวไหล่จะต้องผึ่งผาย ไม่เป็นคนไหล่ห่อ และหลังไม่โกง อกไม่แอ่นจนเกินไป ลำตัวกลมพอสมควร ตรวจดูแขน จะต้องไม่แขนสั้นหรือยาวจนเกินไป และไม่พิการ เช่นแขนคอก หรือลีบและงอ ไม่ได้สัดส่วนที่รับกับลำตัว และขาทั้งสองข้าง ดูนิ้วมือทั้งห้า จะต้องไม่หงิกงอหรือพิการแต่ประการใด และมีนิ้วมือครบทั้งห้านิ้ว แต่ละนิ้วจะยาวสั้นพอประมาณ เมื่อตั้งมือนิ้วมือตกท้องนาคก็ยิ่งดี (มือตกท้องนาคหมายถึง นิ้วมือที่มีลักษณะอ่อนโค้งเมื่อมือตึงนิ้ว) ต่อมาตรวจดูที่ขาทั้ง ๒ ข้าง คือ ขาทั้ง ๒ ข้างจะต้องมีความยาวเท่ากัน คือไม่สั้นข้าง ยาวข้างจึงจะใช้ได้ รูปร่างจะต้องเป็นคนสูงโปร่ง คือไม่สูงจนเกินไป และไม่เตี้ยจนเกินไป โดยเฉพาะตัวพระจะต้องมีรูปร่างสูงกว่าตัวนางจึงจะใช้ได้ ผิวเนื้อขาวไม่จำกัด
บทความสัมภาษณ์ของ นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง ผู้สอนโขนพระในวิทยาลัยนาฏศิลป ได้กล่าวว่า มีโอกาสได้เข้าร่วมทำการคัดเลือกนักเรียนที่จะเรียนเป็นโขนพระนั้น ระยะต่อมาพบว่านักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เรียนเป็นโขนพระมักจะหาผู้ที่มีใบหน้าเหมือนรูปไข่นั้นหาได้ยาก ดังนั้นเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนที่จะมาเรียนสาขาโขนพระ จึงต้องมีการปรับประยุกต์ เพื่อที่จะได้มีโอกาสเลือกผู้ที่จะมาเรียนในสาขาโขนพระได้มากขึ้น โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกดังต่อไปนี้
ในขั้นต้นจะดูโครงสร้างของนักเรียนโดยภาพรวมก่อน ว่ามีรูปร่างลักษณะพอที่จะเป็นโขนตัวพระได้หรือไม่ กล่าวคือ จะต้องพิจารณาจากรูปร่างสูงโปร่งเป็นสำคัญ ส่วนรูปร่างของใบหน้านั้นจะพิจารณาโดยวิธีคำนึงถึงนักเรียนที่มีรูปหน้าเหมาะสมกับเครื่องประดับบนศีรษะ คือ ชฎา หรือไม่ ส่วนสีผิวของนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องไม่คล้ำจนเกินไป
และนายไพฑูรย์ ก็ได้แสดงความคิดเห็นอีกว่า จากประสบการณ์ของ นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง เมื่อแรกเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนนาฏศิลป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ วิธีการคัดเลือกแตกต่างไปจากวิธีการคัดเลือกในปัจจุบัน คือ วิธีการคัดเลือกในสมัยนั้น แต่ละสาขาจะใช้วิธีการสอบถามความสมัครใจของผู้เรียน ว่า อยากจะเรียนในสาขาใด ซึ่งได้แก่ สาขาโขนพระ โขนยักษ์ และโขนลิง มิได้ใช้เกณฑ์คัดเลือกดังในวิธีปัจจุบัน ซึ่งใช้วิธีการคัดเลือกจากรูปร่างและลักษณะของนักเรียน อย่างไรก็ตาม วิธีการคัดเลือกโดยการสอบถามความสมัครใจของผู้เรียนนั้น ครูก็ยังคงใช้เกณฑ์การคัดเลือก โดยดูจากใบหน้าและรูปร่างประกอบกับความสมัครใจของผู้เรียนด้วยเหมือนกัน นักเรียนบางคนที่สมัครใจเลือกเรียนสาขาโขนพระ แต่ถ้าหากรูปร่าง และหน้าตาไม่เอื้ออำนวยที่จะให้เรียนโขนพระได้ ครูก็จะแนะนำให้เลือกเรียนสาขาโขนยักษ์ หรือโขนลิงแทน เพื่อความเหมาะสมกับลักษณะของนักเรียน ในการคัดเลือกไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตามกล่าวคือ คัดเลือกด้วยความสมัครใจหรือคัดเลือกโดยครูเป็นผู้เลือกเองก็ย่อมมีทั้งข้อดี และข้อเสียเหมือนกัน ในลักษณะการคัดเลือกด้วยความสมัครใจ ข้อดีคือ นักเรียนจะเรียนด้วยใจรัก และสามารถเรียนได้ตลอดรอดฝั่งจนกระทั่งจบหลักสูตร ข้อเสียคือ รูปร่างของนักเรียนบางคนไม่เหมาะสมที่จะเรียนสาขาโขนพระ อันเนื่องมาจากเตี้ยเกินไปบ้าง สูงเกินไปบ้าง อ้วนเกินไปบ้าง หรือมีพฤติกรรมค่อนข้างไปทางความเป็นผู้หญิง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคของการเรียนโขนพระ แต่เนื่องจากมีใจรัก จึงทำให้สามารถเรียนได้ ถ้าเทียบในเชิงปริมาณและคุณภาพแล้ว กลุ่มผู้เรียนที่มีรูปร่างลักษณะไม่เหมาะสมเหล่านี้ ทางด้านการศึกษาซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในการที่ครูไม่สามารถที่จะสร้างคนได้ตามที่มุ่งหมายไว้ ก็จะได้แต่เชิงปริมาณ ขาดในเชิงคุณภาพ ส่วนการคัดเลือกโดยวิธีการคัดเลือกโดยครูมีข้อดีดังนี้ ครูสามารถเลือกนักเรียนได้ตามที่ใจปรารถนา ซึ่งสอดคล้องกับหลักจิตวิทยาที่ว่า “คนจะทำงานด้วยใจรักถ้าหากเขาเป็นผู้เลือกงานนั้นเอง” ข้อเสียคือ ผู้เรียนที่ได้รับการคัดเลือกอาจจะเกิดความไม่พอใจในการที่ตนเองได้รับการคัดเลือกให้เรียนในสาขาที่ตนเองไม่ชอบ อันจะเป็นปัญหาใหญ่ในโอกาสต่อไป นั่นคือนักเรียนจะเรียนไม่จบหลักสูตรนักเรียนหนีเรียน นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ปัญหาเหล่านี้จะนำไปสู่ความสูญเปล่าทางด้านการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในการที่ครูไม่สามารถที่จะสร้างค
นได้ตามที่มุ่งหวังไว้
ในความคิดเห็นของนายวีรชัย มีบ่อทรัพย์ กล่าวว่า การคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนหลักสูตรเดิมจะให้นักเรียน เรียนซ้ำๆ ทบทวนของเดิมก่อน ให้พื้นฐานแน่น และเพิ่มเทคนิคลีลาเข้าไปเรื่อยๆ จะทำให้เนื้อหาแน่นชัดเจนไม่คลาดเคลื่อน แต่ในปัจจุบันไม่แน่นอน ต้องคัดเลือกนักเรียนที่รูปร่างหน้าตาดีสูงโปร่ง สมส่วน ส่วนเด็กต่างจังหวัดของแต่ละพื้นที่ของจำนวนเด็ก รูปร่างหน้าตาพอใช้ได้
แต่จากความคิดเห็นของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นครูสอนโขนพระในวิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี พบว่าการที่จะรับนักเรียนเข้าเรียนโขนพระนั้น ในวิทยาลัยนาฏศิลปในส่วนภูมิภาค จะมีความแตกต่างกับส่วนกลาง ในส่วนกลางมีผู้มาสมัครเรียนมาก มีตัวนักเรียนให้เลือกมากมายหลายคน แต่ในส่วนภูมิภาคนั้นไม่มีสิทธิ์ได้รับการเลือกนักเรียนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมาะสมกับเป็นตัวโขนพระได้เท่าที่ควร เพราะจำนวนนักเรียนที่มาสมัครเรียนมีน้อย แทบจะไม่พอกับความต้องการของวิทยาลัยนาฏศิลปนั้นๆ แม้กระทั่งหน้าตา รูปร่าง สีผิว ของนักเรียน ซึ่งในบางปี ตัวโขนพระหาตัวนักเรียนแทบไม่ได้เลย จึงได้แต่ทำการคัดเลือกนักเรียนที่มาสมัครเรียน ไม่ให้มีรูปร่างพิการ หน้าตาพอใช้ได้ สีผิวไม่คล้ำดำจนเกินไป และมีศิลปะนิสัยที่ให้ความสนใจและเต็มใจที่อยากจะเรียนตัวโขนพระ .
การเรียนการสอนนาฏศิลป์โขน ในสมัยโบราณเดิมเป็นการเรียนการสอนในวังของบรรดาพวกเจ้านาย ซึ่งมีคณะโขน ละครเป็นของตนเอง ดังเช่นที่นายอาคม สายาคม ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ได้กล่าวไว้ในหนังสือรวมงานนิพนธ์ว่า การฝึกหัดโขนในสมัยก่อนครูผู้สอนจะหัดให้ผู้รำ รำเพลงช้า เพลงเร็ว เชิด และเสมอ ถือว่าการรำเพลงเหล่านี้เป็นการฝึกหัดรำในระดับชั้นต้น และจะต้องใช้เวลาฝึกหัดเป็นเวลา ๑ – ๒ ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อให้เกิดความชำนาญและสามารถจดจำท่ารำได้เป็นอย่างดี การฝึกหัดนั้นจะฝึกหัดรำกันตลอดทั้งวัน ไม่มีการเรียนหนังสือ
จากคำกล่าวของนายอาคม สายาคมนี้ แสดงให้เห็นว่า การเรียนการสอนในสมัยรัชกาลที่ ๗ นั้น จะเรียนกันแต่เฉพาะในวังของเจ้านายเท่านั้น และจะต้องฝึกหัดกันตลอดทั้งวัน การเรียนมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความชำนาญ และสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ และเพลงที่จะต้องฝึกหัดรำนั้นประกอบด้วยเพลงหน้าพาทย์ จำนวน ๔ เพลง ซึ่งได้แก่เพลงช้า เพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ต่อมาเมื่อเริ่มตั้งโรงเรียนนาฏศิลปขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี ๒๔๗๗ นายอาคม สายาคม ได้มีโอกาสเข้ามารับราชการอยู่ในกรมศิลปากร และได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนโขนตัวพระให้แก่บรรดานักเรียนในโรงเรียนนาฏศิลป วิธีการถ่ายทอดของครูอาคม สายาคม ที่ถ่ายทอดให้แก่นักเรียนนั้นก็ได้อาศัยแนวทางที่ท่านเคยได้รับการถ่ายทอดเมื่อครั้งที่เคยเป็นเด็กอยู่นั่นคือ การฝึกให้รำเพลงช้าเพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอ วิธีการถ่ายทอดท่ารำของครูอาคมนี้ก็เพื่อต้องการที่จะฝึกให้ผู้เรียนมีความชำนาญในการรำเพลงช้า เพลงเร็ว เพลงเชิด และเพลงเสมอ ตลอดจนมุ่งเน้นลีลาท่ารำของผู้เรียนเป็นสำคัญ เพราะท่านเชื่อว่าเพลงหน้าพาทย์ที่กล่าวมานี้จะสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการรำให้แก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๘ โรงเรียนนาฏศิลป ได้มีการจัดทำหลักสูตรบรรจุเนื้อหาวิชาที่จะสอนให้แก่ผู้เรียน โดยกำหนดเนื้อหาวิชาในแต่ละชั้นปี เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในแต่ละระดับของผู้เรียน และเริ่มใช้หลักสูตรในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (รวมงานนิพนธ์ นายอาคม สายาคม ; ๒๕๒๕ : ๕๕)
บทความสัมภาษณ์ นายทองสุข ทองหลิม ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของนายอาคม สายาคม และได้เคยแสดงเป็นตัวพระรามที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งได้เล่าถึงการฝึกหัดโขนตัวพระของโรงเรียนนาฏศิลปตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งเป็นปีที่นายทองสุข ทองหลิม ได้เข้ามาศึกษาอยู่ในโรงเรียนนาฏศิลปเป็นปีแรก โดยกล่าวว่า การเรียนตัวพระในสมัยนั้นจะแยกเรียนระหว่างตัวพระโขนกับพระละคร ตัวพระโขนนี้ครูผู้สอนคือ หลวงวิลาศวงงาม เป็นผู้ควบคุมการแสดงโขนของกรมศิลปากร นายจำนง พรพิสุทธิ์ นายวงศ์ ล้อมแก้ว และนายอาคม สายาคม ซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครูสอนฝ่ายพระ การเรียนการสอนในสมัยนั้นเริ่มต้นให้ผู้เรียนฝึกหัดเบื้องต้น ด้วยการตบเข่า ถองสะเอว เต้นเสา ถีบเหลี่ยม ซึ่งท่าฝึกหัดเบื้องต้นนี้ เป็นพื้นฐานของการฝึกหัดโขนต่อจากนั้นจึงสลับให้รำเพลงช้า เพลงเร็ว จนเกิดความชำนาญ จึงได้รับให้เข้าร่วมในการแสดงโขน
การเรียนการสอนในสมัยนั้น นายทองสุข ทองหลิม ยังบอกอีกว่านอกจากการเรียนการฝึกหัดนาฏศิลป์โขนแล้ว ยังต้องเรียนหนังสือควบคู่ไปกับการฝึกหัดโขนด้วย ระยะเวลาในการฝึกหัดโขน ส่วนใหญ่จะฝึกหัดในตอนเช้า คือ หลังจากการเรียนสามัญในชั่วโมงแรกผ่านไปแล้ว ก็จะมาเรียนฝึกหัดโขนจนกระทั่งถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน หลังจากนั้นก็กลับไปเรียนภาคสามัญตามปกติในภาคบ่าย
บทความสัมภาษณ์ นายธงไชย โพธยารมย์ ศิลปินกองการสังคีต กรมศิลปากร เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งเคยแสดงเป็นตัวพระรามที่มีชื่อเสียงมาก ได้เล่าถึงการเรียนการสอนโขนตัวพระในสมัยที่ท่านเรียนไว้ ดังนี้
ท่านเริ่มฝึกหัดโขนตัวพระครั้งแรกกับนายอาคม สายาคม ท่านได้ฝึกหัดตัวพระโดยใช้ระยะเวลาไม่ถึงเดือนก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปฝึกหัดตัวนางกับขุนวาศพิศวง (แถม ศิลป์ชีวิน)โดยขุนวาศพิศวงเห็นว่านายธงไชย มีรูปทรงองเอวบางร่างน้อย หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เหมาะที่จะเป็นตัวนาง จึงได้ขอตัวให้ไปฝึกหัดเป็นตัวนาง และได้ฝึกหัดตัวนางอยู่จนถึงชั้นต้นปีที่ ๔ ก็ได้ย้ายไปฝึกหัดเป็นตัวยักษ์ เพราะมีรูปร่างสูงใหญ่ และครูที่ฝึกหัดยักษ์เป็นคนแรก คือ นายทองเริ่ม มงคลนัฏ ต่อมาเมื่อได้เรียนอยู่ในชั้นกลางปีที่ ๓ นายธงไชยก็ได้กลับไปฝึกหัดตัวพระอีกครั้งหนึ่งการเรียนการสอนก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับนายทองสุข ทองหลิม ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว คือครูผู้สอนจะฝึกหัดเบื้องต้นก่อนด้วยการทำท่าตบเข่า ถองสะเอว และเต้นเสา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สอนได้รู้พื้นฐานของการฝึกหัดโขน ต่อจากนั้นจึงจะเริ่มเพลงช้า เพลงเร็ว ให้แก่ผู้เรียน และให้ผู้เรียน รำเพลงช้า เพลงเร็วจนเกิดความชำนาญและจดจำท่ารำได้อย่างแม่นยำ และถือเป็นการเริ่มต้นของการฝึกหัดรำตัวพระ (บทความสัมภาษณ์ นายธงไชย โพธยารมณ์ . ๒๕๓๖ : ๓)
บทความสัมภาษณ์ นายอุดม อังศุธร เกี่ยวกับการเรียนการสอนโขนพระในสมัยที่ท่านยังเป็นนักเรียนไว้ดังนี้ เริ่มเรียนที่โรงเรียนนาฏศิลปครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ นายทองสุข ทองหลิม และนายธงไชย โพธยารมณ์ ได้ฝึกหัดเป็นตัวโขนยักษ์ แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาเหมาะสมที่จะเป็นตัวโขนพระ คุณครูนิตยา จามรมาน ซึ่งเป็นครูประจำชั้นและนายอาคม สายาคม ซึ่งเป็นครูสอนตัวพระในขณะนั้นจึงได้เลือกนายอุดมให้มาฝึกหัดเป็นตัวพระ โดยได้รับการสอนครั้งแรกจาก นายวงศ์ ล้อมแก้ว จะเริ่มให้ฝึกหัดท่าปฏิบัติเบื้องต้นก่อน คือ ท่าตบเข่า ถองสะเอว และเต้นเสา เพื่อเป็นการให้รู้จักจังหวะในการปฏิบัติท่าทาง อันจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นต่อไป สำหรับการฝึกหัดท่ารำนั้น เมื่อฝึกหัดท่ารำเบื้องต้นจนเกิดความชำนาญแล้ว ต่อไปครูผู้สอนจึงต่อท่ารำเพลงช้า เพลงเร็ว ให้แก่ผู้เรียน ในชั้นต้นจะรำประกอบจังหวะกับไม้เคาะก่อน เมื่อจดจำท่ารำได้แม่นยำแล้ว จึงหัดรำประกอบกับดนตรี โดยการใช้แถบบันทึกเสียง เมื่อรำเพลงช้า เพลงเร็วได้จนเกิดความแม่นยำในท่ารำแล้วจึงได้ต่อเพลงหน้าพาทย์เบื้องต้น ซึ่งได้แก่ เพลงเชิด เพลงเสมอ การเรียนในยุคนั้นผู้เรียนจะต้องเรียนหนังสือควบคู่ไปกับการเรียนปฏิบัติศิลป์เอก กล่าวคือ หลังจากเรียนสามัญในช่วงเช้าเสร็จสิ้น 1 ชั่วโมงแล้ว ก็จะต้องลงมาฝึกหัดโขน ๒ ชั่วโมง จนกระทั่งถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน ในครึ่งวันบ่ายก็จะกลับไปเรียนหนังสือสามัญตามปกติ (บทความสัมภาษณ์ นายอุดม อังศุธร . ๒๕๓๗ ; ๔)
นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง .๒๕๓๗ ; ๔)
บทสัมภาษณ์ของนายวีระชัย มีบ่อทรัพย์ การเรียนการสอนในสมัยโบราณ ใช้ไม้เคาะจังหวอย่างเดียว สอนแบบช้าๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดความเคยชิน ในการใช้มือและเท้า มีจังหวะเปิดและจังหวะปิด คือสามารถแก้ไขท่ารำในขณะที่นักเรียนรำผิดได้ทันที ในสมัยก่อนทางฝ่ายละครใช้จังหวะ “จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” แต่โขนยังใช้ไม้เคาะจังหวะอย่างเดียว ซึ่งต่อมา นายอุดม อังศุธร ได้ให้มาฝึกจังหวะ “ จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” และ”ตุ๊บ ทิง ทิง“ ต่อมาจึงใช้ทำนองเพลงสร้อยสนตัด นายวีระชัย ยังให้ความเห็นอีกต่อไปว่า เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเทปเพลงเปิดให้ฟัง ทำให้เด็กเกิดความแม่นยำมากขึ้น แต่ในความเห็นของนายวีระชัย น่าจะเน้น “จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง” ।ให้แม่นก่อน ไม่ใช่ให้รำกับเทปเพลงเลย ทำให้เร็วเกินไป ในเด็กรุ่นหลัง ฟังทำนองและเพลงไม่เป็น และอยากให้ครูรุ่นใหม่วางการสอนแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ ร้อง จะ โจง จะ ทิง โจง ทิง กลุ่มที่ ๒ ไล่ทำนองดนตรี
ในเรื่องการเรียนการสอนในสมัยโบราณ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕-๗ มัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ ชั้นกลางปีที่ ๑-๓ ชั้นสูงปีที่ ๑-๒ รวมเวลา ๑๑ ปี ส่วนในปัจจุบัน แบ่งเป็นชั่วโมงเนื้อหาชัดเจน
๔. การคัดเลือกผู้ที่จะฝึกหัดโขนเป็นตัวพระ
การคัดเลือกผู้ที่จะเรียนเป็นตัวโขนในสมัยก่อน ครูโขนจะดูรูปร่างของผู้เรียนด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- ให้ผู้เรียนถอดถุงเท้าและรองเท้าออก แล้วให้ยืนกางแขนตั้งฝ่ามือขึ้น เพื่อตรวจดูความ
สมบูรณ์ สมส่วนของลำตัว แขน ขา มือ และเท้า ครูใช้มือสำรวจส่วนต่าง ๆ เช่น กระดูกหลัง ช่วงอก
นิ้วมือ นิ้วเท้า แล้วให้เด็กย่อเหลี่ยม เพื่อดูวงเหลี่ยมว่าพอจะดัดเข้ารูปได้หรือไม่
- ทดลองให้ผู้เรียนเดิน เพื่อดูกิริยาท่าทาง หรือลองให้หกคะเมนตีลังกา เพื่อความถนัดในปัจจุบันนี้ได้เพิ่มการสอบวิชาสามัญ คือความรู้ทั่วไป เช่น วิชาคณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทยวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และวิชาศิลปะทั่วไป เป็นต้น และได้เพิ่มการสอบสัมภาษณ์ คือการถามคำถามต่าง ๆ ให้ผู้เรียนตอบหรือแสดงความคิดเห็น ความสนใจในสาขาวิชาที่นักเรียนต้องการที่จะเรียนต่อไปด้วย ตลอดจนให้นักเรียนได้แสดงความสามารถ เพื่อเป็นการสำรวจพื้นฐานด้านนาฏศิลป์ เช่น ให้นักเรียนรำหรือเต้นให้ดู หลังจากที่ได้รับนักเรียนเข้าเรียนในวิทยาลัยนาฏศิลปแล้ว ก็ต้องทำการคัดเลือกนักเรียนเพื่อแยกไปเรียนในสาขา โขนพระ โขนยักษ์และโขนลิง ตามลักษณะบุคลิกภาพของนักเรียน โดยครูอาวุโสแต่ละสาขาเป็นผู้ทำการคัดเลือก
วิธีคัดเลือกนักเรียนในสาขาโขนพระ นายอาคม สายาคม ได้กล่าวไว้ในหนังสือรวมวิทยานิพนธ์ ของท่านว่า ในขั้นต้นของการเลือกผู้ที่จะเรียนโขนพระ จะต้องดูที่ใบหน้าก่อน โดยคัดเลือกนักเรียนที่มีใบหน้ารูปไข่ กล่าวคือ มีใบหน้ายาว คิ้วดกพอสมควร จมูกต้องโด่ง นัยน์ตาไม่พิการ ปากต้องเป็นรูปกระจับ ริมฝีปากบางพอประมาณ คางไม่ป้าน หมายถึงยาวรับกับใบหน้า ไม่มีตำหนิและทุกส่วนของใบหน้ารับกันได้สมส่วน ต่อมาก็ตรวจดูลำคอ คือต้องมีช่วงคอที่ยาว หัวไหล่จะต้องผึ่งผาย ไม่เป็นคนไหล่ห่อ และหลังไม่โกง อกไม่แอ่นจนเกินไป ลำตัวกลมพอสมควร ตรวจดูแขน จะต้องไม่แขนสั้นหรือยาวจนเกินไป และไม่พิการ เช่นแขนคอก หรือลีบและงอ ไม่ได้สัดส่วนที่รับกับลำตัว และขาทั้งสองข้าง ดูนิ้วมือทั้งห้า จะต้องไม่หงิกงอหรือพิการแต่ประการใด และมีนิ้วมือครบทั้งห้านิ้ว แต่ละนิ้วจะยาวสั้นพอประมาณ เมื่อตั้งมือนิ้วมือตกท้องนาคก็ยิ่งดี (มือตกท้องนาคหมายถึง นิ้วมือที่มีลักษณะอ่อนโค้งเมื่อมือตึงนิ้ว) ต่อมาตรวจดูที่ขาทั้ง ๒ ข้าง คือ ขาทั้ง ๒ ข้างจะต้องมีความยาวเท่ากัน คือไม่สั้นข้าง ยาวข้างจึงจะใช้ได้ รูปร่างจะต้องเป็นคนสูงโปร่ง คือไม่สูงจนเกินไป และไม่เตี้ยจนเกินไป โดยเฉพาะตัวพระจะต้องมีรูปร่างสูงกว่าตัวนางจึงจะใช้ได้ ผิวเนื้อขาวไม่จำกัด
บทความสัมภาษณ์ของ นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง ผู้สอนโขนพระในวิทยาลัยนาฏศิลป ได้กล่าวว่า มีโอกาสได้เข้าร่วมทำการคัดเลือกนักเรียนที่จะเรียนเป็นโขนพระนั้น ระยะต่อมาพบว่านักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เรียนเป็นโขนพระมักจะหาผู้ที่มีใบหน้าเหมือนรูปไข่นั้นหาได้ยาก ดังนั้นเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนที่จะมาเรียนสาขาโขนพระ จึงต้องมีการปรับประยุกต์ เพื่อที่จะได้มีโอกาสเลือกผู้ที่จะมาเรียนในสาขาโขนพระได้มากขึ้น โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกดังต่อไปนี้
ในขั้นต้นจะดูโครงสร้างของนักเรียนโดยภาพรวมก่อน ว่ามีรูปร่างลักษณะพอที่จะเป็นโขนตัวพระได้หรือไม่ กล่าวคือ จะต้องพิจารณาจากรูปร่างสูงโปร่งเป็นสำคัญ ส่วนรูปร่างของใบหน้านั้นจะพิจารณาโดยวิธีคำนึงถึงนักเรียนที่มีรูปหน้าเหมาะสมกับเครื่องประดับบนศีรษะ คือ ชฎา หรือไม่ ส่วนสีผิวของนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องไม่คล้ำจนเกินไป
และนายไพฑูรย์ ก็ได้แสดงความคิดเห็นอีกว่า จากประสบการณ์ของ นายไพฑูรย์ เข้มแข็ง เมื่อแรกเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนนาฏศิลป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ วิธีการคัดเลือกแตกต่างไปจากวิธีการคัดเลือกในปัจจุบัน คือ วิธีการคัดเลือกในสมัยนั้น แต่ละสาขาจะใช้วิธีการสอบถามความสมัครใจของผู้เรียน ว่า อยากจะเรียนในสาขาใด ซึ่งได้แก่ สาขาโขนพระ โขนยักษ์ และโขนลิง มิได้ใช้เกณฑ์คัดเลือกดังในวิธีปัจจุบัน ซึ่งใช้วิธีการคัดเลือกจากรูปร่างและลักษณะของนักเรียน อย่างไรก็ตาม วิธีการคัดเลือกโดยการสอบถามความสมัครใจของผู้เรียนนั้น ครูก็ยังคงใช้เกณฑ์การคัดเลือก โดยดูจากใบหน้าและรูปร่างประกอบกับความสมัครใจของผู้เรียนด้วยเหมือนกัน นักเรียนบางคนที่สมัครใจเลือกเรียนสาขาโขนพระ แต่ถ้าหากรูปร่าง และหน้าตาไม่เอื้ออำนวยที่จะให้เรียนโขนพระได้ ครูก็จะแนะนำให้เลือกเรียนสาขาโขนยักษ์ หรือโขนลิงแทน เพื่อความเหมาะสมกับลักษณะของนักเรียน ในการคัดเลือกไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตามกล่าวคือ คัดเลือกด้วยความสมัครใจหรือคัดเลือกโดยครูเป็นผู้เลือกเองก็ย่อมมีทั้งข้อดี และข้อเสียเหมือนกัน ในลักษณะการคัดเลือกด้วยความสมัครใจ ข้อดีคือ นักเรียนจะเรียนด้วยใจรัก และสามารถเรียนได้ตลอดรอดฝั่งจนกระทั่งจบหลักสูตร ข้อเสียคือ รูปร่างของนักเรียนบางคนไม่เหมาะสมที่จะเรียนสาขาโขนพระ อันเนื่องมาจากเตี้ยเกินไปบ้าง สูงเกินไปบ้าง อ้วนเกินไปบ้าง หรือมีพฤติกรรมค่อนข้างไปทางความเป็นผู้หญิง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคของการเรียนโขนพระ แต่เนื่องจากมีใจรัก จึงทำให้สามารถเรียนได้ ถ้าเทียบในเชิงปริมาณและคุณภาพแล้ว กลุ่มผู้เรียนที่มีรูปร่างลักษณะไม่เหมาะสมเหล่านี้ ทางด้านการศึกษาซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในการที่ครูไม่สามารถที่จะสร้างคนได้ตามที่มุ่งหมายไว้ ก็จะได้แต่เชิงปริมาณ ขาดในเชิงคุณภาพ ส่วนการคัดเลือกโดยวิธีการคัดเลือกโดยครูมีข้อดีดังนี้ ครูสามารถเลือกนักเรียนได้ตามที่ใจปรารถนา ซึ่งสอดคล้องกับหลักจิตวิทยาที่ว่า “คนจะทำงานด้วยใจรักถ้าหากเขาเป็นผู้เลือกงานนั้นเอง” ข้อเสียคือ ผู้เรียนที่ได้รับการคัดเลือกอาจจะเกิดความไม่พอใจในการที่ตนเองได้รับการคัดเลือกให้เรียนในสาขาที่ตนเองไม่ชอบ อันจะเป็นปัญหาใหญ่ในโอกาสต่อไป นั่นคือนักเรียนจะเรียนไม่จบหลักสูตรนักเรียนหนีเรียน นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ปัญหาเหล่านี้จะนำไปสู่ความสูญเปล่าทางด้านการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในการที่ครูไม่สามารถที่จะสร้างค
ในความคิดเห็นของนายวีรชัย มีบ่อทรัพย์ กล่าวว่า การคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนหลักสูตรเดิมจะให้นักเรียน เรียนซ้ำๆ ทบทวนของเดิมก่อน ให้พื้นฐานแน่น และเพิ่มเทคนิคลีลาเข้าไปเรื่อยๆ จะทำให้เนื้อหาแน่นชัดเจนไม่คลาดเคลื่อน แต่ในปัจจุบันไม่แน่นอน ต้องคัดเลือกนักเรียนที่รูปร่างหน้าตาดีสูงโปร่ง สมส่วน ส่วนเด็กต่างจังหวัดของแต่ละพื้นที่ของจำนวนเด็ก รูปร่างหน้าตาพอใช้ได้
แต่จากความคิดเห็นของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นครูสอนโขนพระในวิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี พบว่าการที่จะรับนักเรียนเข้าเรียนโขนพระนั้น ในวิทยาลัยนาฏศิลปในส่วนภูมิภาค จะมีความแตกต่างกับส่วนกลาง ในส่วนกลางมีผู้มาสมัครเรียนมาก มีตัวนักเรียนให้เลือกมากมายหลายคน แต่ในส่วนภูมิภาคนั้นไม่มีสิทธิ์ได้รับการเลือกนักเรียนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมาะสมกับเป็นตัวโขนพระได้เท่าที่ควร เพราะจำนวนนักเรียนที่มาสมัครเรียนมีน้อย แทบจะไม่พอกับความต้องการของวิทยาลัยนาฏศิลปนั้นๆ แม้กระทั่งหน้าตา รูปร่าง สีผิว ของนักเรียน ซึ่งในบางปี ตัวโขนพระหาตัวนักเรียนแทบไม่ได้เลย จึงได้แต่ทำการคัดเลือกนักเรียนที่มาสมัครเรียน ไม่ให้มีรูปร่างพิการ หน้าตาพอใช้ได้ สีผิวไม่คล้ำดำจนเกินไป และมีศิลปะนิสัยที่ให้ความสนใจและเต็มใจที่อยากจะเรียนตัวโขนพระ .
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)